วัฒนธรรม 996 เมื่อการทำงานหนักคือบรรทัดฐานในบริษัทจีน

by admin

 

เหรียญสองด้านแห่งความทะเยอทะยาน

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในห้องประชุมของบริษัทเทคโนโลยีแห่งหนึ่งในจีน เมื่อพนักงานฝึกหัดคนหนึ่งรวบรวมความกล้าถามคำถามที่ดูเรียบง่ายแต่กลับสั่นสะเทือนบรรทัดฐานขององค์กร: “มันผิดไหมครับ ที่เราจะอยากมีชีวิตนอกที่ทำงาน?” เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นทั่วห้อง สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่เขาด้วยความกังขาและไม่เชื่อหู “เด็กสมัยนี้…” ใครบางคนพึมพำอย่างดูแคลน ฉากนี้เปรียบเสมือนภาพจำลองขนาดจิ๋วของความขัดแย้งครั้งใหญ่ที่กำลังดำเนินอยู่ในสังคมจีนยุคใหม่ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “วัฒนธรรม 996”

“996” ไม่ใช่รหัสลับ แต่เป็นตัวเลขที่สรุปตารางการทำงานอันหนักหน่วงของพนักงานจำนวนมาก โดยเฉพาะในแวดวงเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพของจีน มันหมายถึงการทำงานตั้งแต่ 9 โมงเช้า (9:00 am) ถึง 3 ทุ่ม (9:00 pm) เป็นเวลา 6 วันต่อสัปดาห์ รวมเป็นชั่วโมงทำงานทั้งสิ้น 72 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ การปฏิบัตินี้ถือเป็นการกระทำที่ ผิดกฎหมาย อย่างชัดเจนตามกฎหมายแรงงานของจีน

วัฒนธรรม 996 ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความย้อนแย้งในระดับชาติ ในด้านหนึ่ง มันถูกยกย่องโดยมหาเศรษฐีและผู้ก่อตั้งบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง แจ็ค หม่า (Jack Ma) แห่งอาลีบาบา (Alibaba) ว่าเป็น “พรที่ยิ่งใหญ่” (a huge blessing) และเป็นหนทางเดียวที่จะนำไปสู่ความสำเร็จที่ต้องการได้  ในทางกลับกัน มันถูกประณามจากนักวิจารณ์และตัวพนักงานเองว่าเป็น “ทาสยุคใหม่” (modern slavery) ที่ละเมิดกฎหมายแรงงานและสร้างต้นทุนชีวิตมนุษย์ที่สูงลิ่ว

ความซับซ้อนของปัญหานี้ไม่ได้อยู่แค่การถกเถียงระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง แต่ยังสะท้อนถึงภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของรัฐบาลจีนเอง แม้ว่าศาลสูงสุดของจีนจะประกาศให้ระบบ 996 เป็นสิ่งผิดกฎหมายอย่างเป็นทางการในปี 2021 และสื่อของรัฐเองก็ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานล่วงเวลาที่เกินควร แต่ในขณะเดียวกัน รัฐบาลกลับแสดงความกังวลและพยายามเซ็นเซอร์กระแสต่อต้านในหมู่คนรุ่นใหม่อย่าง “ถ่างผิง” (tang ping) หรือ “การนอนราบ” ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความเบื่อหน่ายต่อการแข่งขันที่ไร้ที่สิ้นสุด โดยให้เหตุผลว่าอาจส่งผลกระทบต่อผลิตภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ

สถานการณ์นี้ไม่ใช่แค่ความหน้าไหว้หลังหลอก แต่เป็นการเผยให้เห็นถึงภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกในโมเดลการพัฒนาของจีน รัฐบาลต้องการผลผลิตทางเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันระดับโลก ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเชื่อว่ามาจากพลังขับเคลื่อนของแรงงานที่ทุ่มเทอย่างสุดตัว นี่คือ “เครื่องยนต์ทุนนิยม” ที่เป็นส่วนหนึ่งของแนวคิด “สังคมนิยมอันมีอัตลักษณ์จีน” (socialism with Chinese characteristics) แต่ในขณะเดียวกัน ภารกิจหลักของรัฐคือการรักษาเสถียรภาพทางสังคม การที่พนักงานหมดไฟอย่างกว้างขวาง วิกฤตสุขภาพ และความโกรธแค้นของประชาชนที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น รัฐบาลจีนจึงกำลังเดินอยู่บนเส้นด้ายที่บางเฉียบ การประณาม 996 เป็นการเอาใจประชาชนและรักษาภาพลักษณ์ของการคุ้มครองแรงงาน แต่ก็ลังเลที่จะบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังจนเกินไป เพราะอาจกระทบกระเทือนบริษัทยักษ์ใหญ่ที่รัฐต้องพึ่งพาเพื่อการเติบโตและนวัตกรรม การเซ็นเซอร์กระแส “ถ่างผิง” พร้อมกับประกาศว่า 996 ผิดกฎหมาย คือภาพสะท้อนที่ชัดเจนที่สุดของการพยายามรักษาสมดุลนี้: รัฐต้องการ “งาน” แต่ไม่ต้องการ “การต่อต้าน” ที่มาพร้อมกับงานนั้น ความขัดแย้งที่หยั่งรากลึกนี้ชี้ให้เห็นว่าปัญหา 996 ไม่ใช่แค่ข้อพิพาทด้านแรงงาน แต่เป็นบททดสอบสำคัญสำหรับโมเดลเศรษฐกิจและสังคมของจีนทั้งหมด และความไม่ยั่งยืนในระยะยาวของความย้อนแย้งนี้กำลังบีบให้ทั้งชาติต้องหันมาทบทวนและแสวงหาหนทางใหม่ในการเติบโตที่สมดุลกว่าเดิม

จุดกำเนิดของบรรทัดฐานอันโหดร้าย

วัฒนธรรม 996 ไม่ได้เกิดขึ้นจากความว่างเปล่า แต่เป็นผลผลิตจากการผสมผสานกันของปัจจัยทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมที่สั่งสมมานานหลายทศวรรษ จนกลายเป็นบรรทัดฐานที่ฝังรากลึกในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของจีน

ยุคตื่นทองทางเทคโนโลยี

จุดเริ่มต้นของ 996 สามารถย้อนกลับไปได้ถึงช่วงต้นทศวรรษ 2000 ซึ่งเป็นยุคที่อินเทอร์เน็ตในจีนเติบโตอย่างก้าวกระโดด ประชากรออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลเปรียบเสมือน “เหมืองทองคำ” สำหรับผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยี ในยุคนั้น ภาคเอกชนได้รับมอบหมายให้เป็นผู้สร้างอนาคตดิจิทัลของประเทศ ทำให้เกิดความรู้สึกร่วมในภารกิจอันยิ่งใหญ่ บริษัทต่างๆ สามารถกระตุ้นพนักงานด้วยวิสัยทัศน์ที่น่าตื่นเต้นและผลตอบแทนที่งดงามจากการเติบโตนี้ เป้าหมายหลักคือการพัฒนาให้ทันและแซงหน้าซิลิคอนแวลลีย์ (Silicon Valley) ของสหรัฐอเมริกา ทำให้ “ความเร็ว” และ “การลดต้นทุน” กลายเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินงาน

รากฐานทางวัฒนธรรม

ค่านิยมทางวัฒนธรรมที่มีอยู่เดิมของจีนได้กลายเป็นดินที่อุดมสมบูรณ์ให้วัฒนธรรม 996 ได้เติบโต แนวคิดที่ได้รับอิทธิพลจากลัทธิขงจื๊อซึ่งเน้นเรื่องลำดับชั้นทางสังคม การเชื่อฟังผู้มีอำนาจ และการยกย่องความขยันหมั่นเพียรให้เป็นคุณธรรมสูงสุด ถูกผสมรวมเข้ากับแรงกดดันทางสังคมที่เข้มข้น ซึ่งปลูกฝังให้ผู้คนต้อง “ทำงานให้หนักกว่าและโดดเด่นกว่าคนอื่น” การแข่งขันนี้เริ่มต้นตั้งแต่วัยเยาว์และดำเนินต่อไปจนถึงวัยทำงาน การทำงานหนักจนไม่มีเวลาพักผ่อนจึงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่กลับกลายเป็นเครื่องหมายแห่งเกียรติยศและความสำเร็จ

ปัจจัยขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ

ในเชิงโครงสร้าง วัฒนธรรม 996 ได้รับมรดกตกทอดมาจากภาคการผลิตขนาดใหญ่ของจีน ซึ่งแรงงานอพยพจำนวนมากยอมทำงานล่วงเวลาหลายชั่วโมงเพื่อแลกกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น เมื่อมาถึงโลกของเทคโนโลยี แนวคิดนี้ถูกปรับเปลี่ยนใหม่ โดยแทนที่ค่าล่วงเวลาด้วยคำมั่นสัญญาของ “เงินเดือนที่สูงลิ่ว” และ “หุ้นของบริษัท” ที่อาจมีมูลค่ามหาศาลหากสตาร์ทอัพประสบความสำเร็จ การเสียสละเวลาส่วนตัวจึงดูเหมือนเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า และกลายเป็นกฎที่ไม่ได้เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรว่า เงินเดือนที่สูงนั้นเป็นค่าตอบแทนโดยนัยสำหรับชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานผิดปกติ

 

การกลายเป็นบรรทัดฐาน

เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายทศวรรษ 2010 ภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีจีนก็เปลี่ยนไป ตลาดถูกครอบงำโดยบริษัทยักษ์ใหญ่เพียงไม่กี่ราย เช่น อาลีบาบาและเทนเซ็นต์ (Tencent) และเงินทุนสำหรับสตาร์ทอัพใหม่ๆ ก็เริ่มลดน้อยลง ความฝันที่จะร่ำรวยจากการสร้างสตาร์ทอัพของตัวเองเริ่มเลือนลางสำหรับคนส่วนใหญ่ วัฒนธรรม 996 จึงเปลี่ยนสถานะจาก “การเสียสละโดยสมัครใจ” เพื่อโอกาสที่จะพลิกชีวิต ไปสู่ “ข้อบังคับ” ที่จำเป็นเพียงเพื่อรักษาตำแหน่งงานที่มั่นคงและมีเกียรติในบริษัทชั้นนำ สภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายลง ผู้บริหารต่างเรียกร้องให้พนักงานทำงานหนักขึ้น ในขณะที่ต้องลดโบนัสและปลดพนักงานออก

การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ จาก “โอกาส” ไปสู่ “ภาระผูกพัน” ในยุคแรกเริ่ม เรื่องเล่าของ 996 คือเรื่องของ “ทางเลือก” พนักงานเลือกที่จะทำงานหนักเพื่อหวังว่าจะเป็นแจ็ค หม่าคนต่อไป ซึ่งสอดคล้องกับจิตวิญญาณของสตาร์ทอัพทั่วโลก แต่เมื่อตลาดเทคโนโลยีจีนเติบโตเต็มที่และอำนาจกระจุกตัวอยู่ในมือของบริษัทไม่กี่แห่ง พลวัตทางอำนาจก็เปลี่ยนจากลูกจ้างมาเป็นของนายจ้างอย่างสิ้นเชิง “ความฝันที่จะได้ทำงานในบริษัทใหญ่” เข้ามาแทนที่ “ความฝันที่จะสร้างสตาร์ทอัพ” ด้วยจำนวนผู้มีความสามารถที่ล้นตลาดและต่างแย่งชิงตำแหน่งงานอันทรงเกียรติที่มีอยู่อย่างจำกัด บริษัทจึงมีอำนาจต่อรองมหาศาล พวกเขาไม่จำเป็นต้องขายฝันอีกต่อไป แต่สามารถเรียกร้องชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานเป็นเงื่อนไขพื้นฐานได้เลย วัฒนธรรมได้เปลี่ยนจาก “การเสียสละร่วมกันเพื่อผลตอบแทนร่วมกัน” ไปสู่ “การเสียสละของพนักงานเพื่อผลกำไรของบริษัท” นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ เรื่องเล่าของ “พร” ยังคงถูกกล่าวถึง แต่ความจริงเบื้องหลังได้กลายเป็นเรื่องของการบีบบังคับและการขูดรีดไปเสียแล้ว เรื่องราวของ 996 จึงเป็นกรณีศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า “ความมุมานะ” ในยุคบุกเบิกของอุตสาหกรรม สามารถกลายเป็น “ความบดขยี้” ของยุคผูกขาดได้อย่างไร

 

“พร” ปะทะ “คำสาป” ชาติที่แตกแยก

การถกเถียงเรื่องวัฒนธรรม 996 ได้แบ่งสังคมจีนออกเป็นสองขั้วอย่างชัดเจน ฝ่ายหนึ่งมองว่ามันคือความจำเป็นเพื่อความก้าวหน้า ในขณะที่อีกฝ่ายมองว่ามันคือหายนะที่ทำลายชีวิต นี่คือสงครามทางความคิดที่สะท้อนถึงค่านิยมที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว

คำสอนของฝ่ายผู้สนับสนุน

กลุ่มผู้สนับสนุนวัฒนธรรม 996 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้นำและผู้ก่อตั้งบริษัทเทคโนโลยี มักจะนำเสนอข้อโต้แย้งที่เน้นย้ำถึงความจำเป็นของการทำงานหนักเพื่อความสำเร็จ

  • แจ็ค หม่า (อาลีบาบา): คำพูดของเขาได้กลายเป็นวาทะที่โด่งดังและถูกวิจารณ์มากที่สุด: “โดยส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่าการที่สามารถทำงานแบบ 996 ได้นั้นเป็นพรที่ยิ่งใหญ่… ถ้าคุณไม่ทำงาน 996 ตอนที่คุณยังหนุ่ม แล้วคุณจะไปทำงาน 996 ตอนไหนได้อีก?” เขามองว่านี่คือสิทธิพิเศษและเป็นหนทางที่จำเป็นในการไล่ตามความฝันและสร้างอนาคตที่ดีให้กับครอบครัว
  • ริชาร์ด หลิว (JD.com): ผู้ก่อตั้ง JD.com ได้แสดงทัศนะที่แข็งกร้าวไม่แพ้กัน โดยกล่าวว่า “คนขี้เกียจไม่ใช่น้องชายของผม!” (Slackers are not my brothers!) วาทะนี้เป็นการวางกรอบปัญหาในแง่ของความภักดีและการเสียสละร่วมกัน โดยตีตราผู้ที่ไม่เห็นด้วยว่าเป็นคนเกียจคร้านและไม่ใช่ส่วนหนึ่งของ “ครอบครัว”
  • ตรรกะเบื้องหลัง: แก่นของข้อโต้แย้งเหล่านี้คือ ในสภาวะแวดล้อมที่มีการแข่งขันสูงเสียดฟ้า ทั้งในระดับบุคคลและระดับชาติ ความพยายามที่มากกว่าคนอื่นคือสิ่งจำเป็นเพื่อความอยู่รอดและความสำเร็จ มันคือรูปแบบหนึ่งของ “ทฤษฎีดาร์วินทางสังคม” ในบริบทแบบจีน

 

ต้นทุนชีวิตมนุษย์  คำสาป

ในทางตรงกันข้าม เสียงจากฝ่ายคัดค้านได้เปิดเผยให้เห็นถึงด้านมืดของวัฒนธรรมนี้ ซึ่งเป็นต้นทุนที่ต้องจ่ายด้วยสุขภาพและชีวิต

  • วิกฤตสุขภาพกายและสุขภาพจิต: มีรายงานอย่างกว้างขวางถึงผลกระทบที่ร้ายแรงต่อสุขภาพพนักงาน ไม่ว่าจะเป็นความเหนื่อยล้าสะสม อาการปวดกล้ามเนื้อและกระดูก ความผิดปกติของการนอนหลับ ความวิตกกังวล และภาวะหมดไฟอย่างรุนแรง (Burnout Syndrome) ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด มันนำไปสู่การเสียชีวิตจากการทำงานหนักเกินไป หรือที่เรียกว่าคาโรชิ (Karōshi) ซึ่งเป็นศัพท์ที่มาจากญี่ปุ่น มีกรณีการเสียชีวิตของพนักงานที่กลายเป็นข่าวดังและจุดประกายความโกรธแค้นในสังคม
  • มายาคติเรื่องผลิตภาพ (Productivity Myth): ข้อโต้แย้งหลักที่ว่า 996 ช่วยเพิ่มผลผลิตนั้นถูกท้าทายด้วยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ งานวิจัยหลายชิ้นชี้ให้เห็นว่าผลิตภาพของคนเราจะลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อทำงานเกิน 50-55 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ทำให้ชั่วโมงทำงานที่เพิ่มขึ้นมาส่วนใหญ่แทบไม่มีประโยชน์ นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับกฎของพาร์กินสัน (Parkinson’s Law) ที่ว่า “งานจะขยายตัวให้เต็มเวลาที่มีอยู่” ซึ่งหมายความว่าวันทำงาน 12 ชั่วโมงมักจะเต็มไปด้วย “งานยุ่งที่ไม่จำเป็น” (busywork) มากกว่า “งานที่ต้องใช้สมาธิลึกซึ้ง” (deep work) เรื่องเล่าจากพนักงานที่ทำงานของตัวเองเสร็จในไม่กี่ชั่วโมงแต่ถูกบังคับให้อยู่ในออฟฟิศต่อจนดึก ยิ่งตอกย้ำความจริงข้อนี้
  • การกัดกร่อนชีวิตส่วนตัว: วัฒนธรรม 996 ทำลายสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวอย่างสิ้นเชิง มันส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ส่วนตัว ชีวิตครอบครัว และแม้กระทั่งความสามารถในการมีบุตร ซึ่งเป็นประเด็นที่น่ากังวลอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงปัญหาโครงสร้างประชากรของจีน คำถามที่ว่า “เรามีชีวิตอยู่เพื่อทำงาน หรือทำงานเพื่อมีชีวิต?” ได้กลายเป็นคำถามใจกลางของคนรุ่นใหม่

การถกเถียงนี้ลึกซึ้งกว่าแค่เรื่องชั่วโมงทำงาน มันคือการต่อสู้ทางความคิดเกี่ยวกับการใช้ “ความขยัน” เป็นเครื่องมือ ผู้นำทางเทคโนโลยีได้นำเอาแนวคิด “ความขยันหมั่นเพียร” หรือ “เฟิ่นโต้ว” (奋斗, fèndòu) ซึ่งเป็นค่านิยมที่ดีงามและได้รับการยอมรับในวัฒนธรรมจีน มาผูกโยงเข้ากับตารางการทำงาน 996 ที่ผิดกฎหมายและเป็นการขูดรีด การทำเช่นนี้เป็นการสร้างกับดักทางวาทกรรมขึ้นมา เพราะการวิจารณ์ 996 อาจทำให้คนๆ นั้นถูกตีตราว่าเป็นคนขี้เกียจ ไม่มีความพยายาม หรือเป็น “คนขี้แพ้” นี่คือเครื่องมือที่ทรงพลังในการปิดปากผู้เห็นต่าง การตอบโต้จากนักวิจารณ์และแม้กระทั่งสื่อของรัฐอย่าง

People’s Daily จึงเป็นความพยายามที่จะทวงคืนความหมายที่แท้จริงของคำว่า “ความขยัน” พวกเขาโต้แย้งว่าความขยันที่แท้จริงคือเรื่องของประสิทธิภาพ นวัตกรรม และความพยายามอย่างชาญฉลาด ไม่ใช่แค่การทนทำงานหนักเป็นเวลานานๆ อย่างไร้จุดหมาย พวกเขาเรียกวาทกรรม 996 ว่าเป็น “ซุปไก่พิษ” สำหรับจิตวิญญาณ คือสิ่งที่ดูเหมือนจะบำรุงกำลัง แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นยาพิษ นี่คือสงครามการเล่าเรื่องและนิยามคุณค่าหลักทางวัฒนธรรม ซึ่งผลลัพธ์ของมันจะกำหนดอนาคตของวัฒนธรรมการทำงานของจีน ว่าจะยังคงเชิดชูความอดทนแบบถึกทน หรือจะหันไปให้คุณค่ากับความพยายามที่ชาญฉลาดและยั่งยืน ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อนวัตกรรม สุขภาพจิต และความอยู่ดีมีสุขของสังคมโดยรวม

การต่อต้าน จากการลุกฮือออนไลน์สู่การกบฏเงียบ

เมื่อแรงกดดันทวีความรุนแรงขึ้น การต่อต้านก็เริ่มก่อตัวขึ้นในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่การประท้วงอย่างเปิดเผยในโลกออนไลน์ ไปจนถึงการถอนตัวอย่างเงียบๆ ในชีวิตจริง ซึ่งสะท้อนถึงความสิ้นหวังและความเบื่อหน่ายที่เพิ่มขึ้นในหมู่คนรุ่นใหม่

ประกายไฟ 996.ICU

การต่อต้านวัฒนธรรม 996 ที่เป็นรูปธรรมและโด่งดังที่สุดเริ่มต้นขึ้นในโลกดิจิทัล

  • จุดกำเนิด: การเคลื่อนไหวนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2019 บน GitHub ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับแบ่งปันโค้ดที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่นักพัฒนาซอฟต์แวร์ทั่วโลก
  • ชื่อที่แฝงความนัย: ชื่อของโครงการนี้คือ “996.ICU” ซึ่งมาจากประโยคเสียดสีอันเจ็บปวดว่า “ทำงาน 996, ป่วยอยู่ ICU” (Work 996, Sick in ICU) ชื่อนี้กลายเป็นไวรัลในหมู่โปรแกรมเมอร์ชาวจีนอย่างรวดเร็ว
  • วิธีการประท้วง: การเคลื่อนไหวนี้ใช้วิธีการที่ชาญฉลาดและสร้างสรรค์ โดยมีองค์ประกอบหลักคือ:
    • บัญชีดำ/บัญชีขาว (Blacklist/Whitelist): มีการรวบรวมรายชื่อบริษัทที่บังคับใช้ระบบ 996 (เช่น Alibaba, Huawei, ByteDance) ไว้ใน “บัญชีดำ” และในทางกลับกัน ก็มี “บัญชีขาว” ที่รวบรวมบริษัทที่มีชั่วโมงการทำงานที่ดีกว่า (เช่น 955.WLB ซึ่งหมายถึง ทำงาน 9 โมงเช้า ถึง 5 โมงเย็น 5 วันต่อสัปดาห์)
    • ใบอนุญาต Anti-996: นี่คือสุดยอดนวัตกรรมของการประท้วง นักพัฒนาได้สร้างใบอนุญาตซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สที่ชื่อว่า “Anti-996 License” ซึ่งระบุเงื่อนไขว่า บริษัทใดก็ตามที่นำซอฟต์แวร์ภายใต้ใบอนุญาตนี้ไปใช้ จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายแรงงานของจีนอย่างเคร่งครัด นับเป็นการใช้เครื่องมือในอุตสาหกรรมของตนเองมาต่อสู้กับการขูดรีดได้อย่างแยบยล
  • ผลกระทบ: โครงการ 996.ICU ได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม กลายเป็นหนึ่งในโครงการที่ได้รับการ “ติดดาว” (starred) หรือบุ๊กมาร์กมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของ GitHub ดึงดูดความสนใจจากสื่อทั่วโลก และได้รับการสนับสนุนจากบุคคลสำคัญในวงการเทคโนโลยี เช่น กุยโด ฟาน รอสซัม (Guido van Rossum) ผู้สร้างภาษาโปรแกรม Python ซึ่งออกมากล่าวว่าระบบ 996 นั้น “ไร้มนุษยธรรม” (inhumane)

 

คลื่นลูกใหม่ การกบฏเงียบ

แม้การเคลื่อนไหว 996.ICU จะส่งเสียงดังไปทั่วโลก แต่ในระยะยาว วัฒนธรรมการทำงานหนักก็ยังคงอยู่ ทำให้รูปแบบการต่อต้านได้วิวัฒนาการจากการประท้วงอย่างแข็งขันไปสู่การถอนตัวอย่างเงียบๆ

  • ถ่างผิง (躺平 – Lying Flat): ปรัชญา “การนอนราบ” ได้กลายเป็นกระแสหลักในหมู่คนหนุ่มสาว มันคือการปฏิเสธที่จะเข้าร่วม “สงครามการแข่งขัน” (rat race) การละทิ้งการดิ้นรนเพื่อความสำเร็จทางวัตถุ และเลือกที่จะทำเท่าที่จำเป็นเพื่อประคองชีวิต นี่ไม่ใช่ความขี้เกียจ แต่เป็นการตัดสินใจอย่างมีสติที่จะปฏิเสธแรงกดดันของสังคม
  • ป่ายล่าน (摆烂 – Let it Rot): หาก “ถ่างผิง” คือการถอนตัว “ป่ายล่าน” ก็คือการยอมรับความพ่ายแพ้อย่างเย้ยหยัน มันคือทัศนคติที่มองโลกในแง่ร้ายยิ่งกว่า โดยยอมรับความธรรมดาและมีทัศนคติแบบ “ปล่อยให้มันพังไป” เพื่อตอบโต้ต่อระบบที่พวกเขามองว่าไม่ยุติธรรมและไม่มีทางแก้ไขได้
  • รากเหง้าของความสิ้นหวัง: การเคลื่อนไหวเหล่านี้หยั่งรากลึกจากความเป็นจริงทางเศรษฐกิจที่คนรุ่นใหม่ต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นราคาที่อยู่อาศัยที่พุ่งสูงเสียดฟ้า การแข่งขันทางการศึกษาที่รุนแรง ค่าจ้างที่เติบโตไม่ทันค่าครองชีพ และโอกาสในการเลื่อนขั้นที่จำกัด ทำให้คำมั่นสัญญาที่ว่า “ความขยันจะนำมาซึ่งความสำเร็จ” กลายเป็นคำพูดที่ว่างเปล่า

วิวัฒนาการของการต่อต้านนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ จากการกระทำแบบกลุ่มไปสู่การปลีกตัวของปัจเจกบุคคล การเคลื่อนไหว 996.ICU เป็นความพยายามที่จะ ปฏิรูป ระบบจากภายใน มันใช้การประจานในที่สาธารณะ (บัญชีดำ) และเครื่องมือทางกฎหมาย (ใบอนุญาต) เพื่อเรียกร้องให้บริษัทต่างๆ ปฏิบัติตามกฎหมาย โดยพื้นฐานแล้ว มันยังมีความหวังว่าการเปลี่ยนแปลงสามารถเกิดขึ้นได้ผ่านการร่วมมือกัน แต่เมื่อวัฒนธรรม 996 ยังคงดำรงอยู่ ประกอบกับอนาคตทางเศรษฐกิจที่มืดมน ความผิดหวังก็แพร่กระจายไปทั่ว ความเชื่อมั่นในความสามารถของระบบที่จะปฏิรูปตัวเองได้เริ่มสั่นคลอน ด้วยเหตุนี้ จุดศูนย์กลางของการต่อต้านจึงย้ายจาก “ส่วนรวม” มาสู่ “ส่วนบุคคล” หากคุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงระบบได้ อย่างน้อยคุณก็สามารถเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของคุณที่มีต่อระบบได้ “ถ่างผิง” ไม่ใช่ขบวนการที่มีการจัดตั้ง แต่เป็นปรัชญาส่วนบุคคลเพื่อการเอาตัวรอด การเปลี่ยนแปลงนี้แสดงถึงการยกระดับของการไม่เห็นด้วยที่รุนแรงขึ้น การประท้วงเพื่อแก้ไขระบบเป็นสัญญาณของการมีส่วนร่วม แต่การถอนตัวออกจากระบบอย่างกว้างขวางเป็นสัญญาณของความแปลกแยกที่หยั่งรากลึกและการพังทลายของสัญญาประชาคม นี่คือความท้าทายในระยะยาวที่ใหญ่หลวงกว่าสำหรับรัฐและเศรษฐกิจของจีน การประท้วงที่แข็งขันสามารถรับมือได้ด้วยการประนีประนอมหรือการปราบปราม แต่การถอนตัวอย่างเงียบๆ คือการสูบฉีดพลังขับเคลื่อนและความทะเยอทะยานที่เคยเป็นเชื้อเพลิงให้กับการเติบโตของจีนมานานหลายทศวรรษให้เหือดแห้งไป มันคือวิกฤตทางวัฒนธรรมที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยนโยบายง่ายๆ

ส่วนที่ 4: กฎหมายปะทะความจริง: การปฏิบัติที่ผิดกฎหมายแต่แพร่หลาย

แม้จะมีการถกเถียงและต่อต้านอย่างกว้างขวาง แต่สถานะของวัฒนธรรม 996 ในทางกฎหมายนั้นชัดเจนอย่างยิ่ง: มันผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ช่องว่างระหว่างตัวบทกฎหมายและความเป็นจริงที่เกิดขึ้นยังคงเป็นปัญหาใหญ่ที่สะท้อนถึงความซับซ้อนของสังคมจีน

ตัวบทกฎหมาย

กฎหมายแรงงานของสาธารณรัฐประชาชนจีนได้กำหนดกรอบการทำงานไว้อย่างชัดเจน โดยระบุว่าชั่วโมงทำงานมาตรฐานต้องไม่เกิน 44 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และการทำงานล่วงเวลาต้องไม่เกิน 36 ชั่วโมงต่อเดือน  เมื่อพิจารณาจากตัวเลขนี้ วัฒนธรรม 996 ซึ่งมีชั่วโมงทำงานถึง 72 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ (หรือคิดเป็นการทำงานล่วงเวลาประมาณ 128 ชั่วโมงต่อเดือน) ถือเป็นการละเมิดกฎหมายอย่างร้ายแรงและชัดเจน

คำตัดสินครั้งประวัติศาสตร์

ในเดือนสิงหาคม 2021 ศาลประชาชนสูงสุดของจีนได้ออกประกาศครั้งสำคัญที่ตอกย้ำความผิดกฎหมายของระบบ 996 อย่างเป็นทางการ ศาลได้เผยแพร่ชุดคำตัดสินตัวอย่างเพื่อเป็นบรรทัดฐานและคำเตือนแก่นายจ้างทั่วประเทศ หนึ่งในคดีตัวอย่างนั้น ศาลได้สั่งให้บริษัทแห่งหนึ่งจ่ายค่าชดเชยให้กับพนักงานที่ถูกไล่ออกเนื่องจากปฏิเสธที่จะทำงานตามตาราง 996 คำประกาศนี้ถือเป็นชัยชนะเชิงสัญลักษณ์ครั้งสำคัญของฝ่ายที่ต่อต้านวัฒนธรรมการทำงานที่ขูดรีดนี้

ช่องว่างของการบังคับใช้

อย่างไรก็ตาม ชัยชนะในศาลกลับไม่สามารถแปลเป็นการเปลี่ยนแปลงในโลกแห่งความเป็นจริงได้อย่างสมบูรณ์ การบังคับใช้กฎหมายยังคงเป็นปัญหาใหญ่

  • ความกังขาของสาธารณชน: ปฏิกิริยาต่อคำตัดสินของศาลในปี 2021 ในโลกออนไลน์เต็มไปด้วยความกังขาและความเย้ยหยัน ความคิดเห็นที่ได้รับความนิยมสูงสุดในเว่ยปั๋ว (Weibo) คือ “ค่อยมาคุยกันใหม่ตอนที่มันถูกบังคับใช้จริงๆ นะ” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการขาดความเชื่อมั่นอย่างรุนแรงต่อความสามารถของระบบในการปกป้องสิทธิของพวกเขา
  • เหตุผลที่ 996 ยังคงอยู่: ช่องว่างในการบังคับใช้นี้เกิดจากหลายปัจจัยประกอบกัน:
    • การบังคับใช้กฎหมายที่หละหลวมและไม่สม่ำเสมอของหน่วยงานแรงงานในท้องถิ่น ซึ่งมักขาดแคลนทั้งงบประมาณและบุคลากร
    • อำนาจและอิทธิพลของบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่อาจใช้ความสัมพันธ์ หรือ กวนซี่ (guanxi) เพื่อเพิกเฉยต่อกฎหมายโดยไม่ต้องรับโทษ
    • แรงกดดันจากเพื่อนร่วมงานและวัฒนธรรม “กฎที่ไม่ได้เขียนไว้” ที่ทำให้พนักงานรู้สึกว่าต้องทำงานล่วงเวลาแม้ไม่มีคำสั่งโดยตรง เพื่อแสดงความทุ่มเท
    • ความกลัวของพนักงานเองที่จะสูญเสียงานที่ให้ผลตอบแทนสูง เนื่องจากทางเลือกอื่นที่ไม่ใช่ 996 มักจะให้ค่าจ้างที่ต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้พวกเขายอมทนกับการทำงานหนักเพื่อรักษามาตรฐานการครองชีพ

ตารางเปรียบเทียบต่อไปนี้แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างสุดขั้วระหว่างสิ่งที่กฎหมายกำหนดและความเป็นจริงของวัฒนธรรม 996 ซึ่งช่วยให้เข้าใจถึงขนาดของปัญหาการละเมิดกฎหมายได้อย่างชัดเจน

ลักษณะ (Feature)ตามกฎหมายแรงงานจีน (Chinese Labor Law)การปฏิบัติแบบ 996 (996 Practice)
ชั่วโมงทำงานมาตรฐาน/สัปดาห์ไม่เกิน 44 ชั่วโมง72 ชั่วโมง
การทำงานล่วงเวลาสูงสุด/เดือนไม่เกิน 36 ชั่วโมงประมาณ 128 ชั่วโมง
ค่าตอบแทนล่วงเวลาบังคับตามกฎหมาย (ขั้นต่ำ 150%)มักไม่ได้รับหรือถูกบีบให้สละสิทธิ์
สถานะทางกฎหมายถูกกฎหมายผิดกฎหมาย (ตั้งแต่ ส.ค. 2021)

อนาคตของการทำงานในจีน วัฒนธรรมบนทางแพร่ง

ปัจจุบัน วัฒนธรรมการทำงานของจีนกำลังยืนอยู่บนทางแยกที่สำคัญ การต่อสู้ระหว่างบรรทัดฐานเก่าของ 996 และกระแสเรียกร้องสมดุลชีวิตใหม่กำลังก่อให้เกิดภาพอนาคตที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง

สถานการณ์ปัจจุบัน (2024-2025): ภาพที่ผสมผสาน

ภูมิทัศน์การทำงานในปัจจุบันไม่ใช่ภาพขาวดำที่ชัดเจน แต่เป็นภาพที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง

  • 996 ยังคงอยู่: การทำงานหนักเกินขอบเขตยังไม่หมดไปจากประเทศจีน มีรายงานข่าวล่าสุดในเดือนมิถุนายน 2024 เกี่ยวกับบริษัทเทคโนโลยีแห่งหนึ่งในมณฑลฝูเจี้ยนที่เปิดตัวแคมเปญ “896” ซึ่งบังคับให้พนักงานทำงานตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง 3 ทุ่ม เป็นเวลา 6 วันต่อสัปดาห์ นอกจากนี้ ข้อมูลสถิติยังชี้ว่าชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยต่อสัปดาห์ของแรงงานจีนยังคงอยู่ในระดับที่สูง
  • การตอบโต้จากองค์กร: ในทางกลับกัน มีแนวโน้มที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งกำลังเริ่มเคลื่อนไหวเพื่อรื้อถอนวัฒนธรรมการทำงานล่วงเวลาอย่างจริงจัง ตัวอย่างเช่น DJI ผู้ผลิตโดรนชั้นนำ ได้ออกนโยบายให้พนักงานทุกคนออกจากออฟฟิศภายในเวลา 21:00 น. Midea ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า ได้สั่งห้ามการทำงานหลังเวลา 18:20 น. ขณะที่ Tencent ได้กำหนดวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ชัดเจน และ ByteDance (บริษัทแม่ของ TikTok) ได้นำระบบ “1075” (ทำงาน 10:00-19:00, 5 วันต่อสัปดาห์) มาใช้

 

ปัจจัยขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง

การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากความใจดีของบริษัทเพียงอย่างเดียว แต่ถูกขับเคลื่อนโดยปัจจัยเชิงโครงสร้างที่สำคัญหลายประการ

  • ความจริงทางเศรษฐกิจ: การเติบโตของภาคเทคโนโลยีที่ชะลอตัวลงทำให้บริษัทไม่สามารถแบกรับความไร้ประสิทธิภาพของ “การทำงานล่วงเวลาเพื่อเอาหน้า” ได้อีกต่อไป จุดสนใจจึงเปลี่ยนไปสู่การลดต้นทุนและเพิ่มผลิตภาพที่แท้จริง
  • สงครามแย่งชิงคนเก่ง : คนทำงานรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตและสมดุลชีวิตการทำงาน (Work-Life Balance) มากขึ้น และปฏิเสธโมเดล 996 อย่างแข็งขัน เพื่อที่จะดึงดูดและรักษาพนักงานที่มีความสามารถไว้ บริษัทจึงถูกบีบให้ต้องปรับตัว
  • แรงกดดันจากสังคมและรัฐบาล: เสียงโวยวายของประชาชนที่ดังต่อเนื่องมาหลายปี การเคลื่อนไหวออนไลน์ และท้ายที่สุดคือการประณามอย่างเป็นทางการจากภาครัฐ ทำให้วัฒนธรรม 996 กลายเป็นภาระด้านชื่อเสียงที่ไม่มีใครอยากแบกรับ

 

แนวโน้มในภาพใหญ่ที่กำหนดอนาคต

การถกเถียงเรื่อง 996 เชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมที่ใหญ่กว่าในจีน

  • จากผู้ตามสู่นักสร้างสรรค์: ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ของจีนตระหนักดีว่า “การลอกเลียนแบบคือทางตัน” และกำลังหันมาให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาและนวัตกรรมที่แท้จริง ซึ่งต้องการความคิดสร้างสรรค์ ไม่ใช่แค่ชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน
  • ปัญญาประดิษฐ์และระบบอัตโนมัติ: การลงทุนมหาศาลใน AI และหุ่นยนต์กำลังจะเปลี่ยนโฉมหน้าตลาดแรงงาน ทำให้เกิดความต้องการทักษะระดับสูง และอาจทำให้โมเดลการทำงานที่ใช้แรงงานคนอย่างหนักหน่วงล้าสมัยไปในที่สุด
  • โครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลง: จำนวนประชากรในวัยทำงานของจีนที่กำลังลดลงจะทำให้การแข่งขันเพื่อแย่งชิงคนเก่งทวีความรุนแรงขึ้น และให้อำนาจต่อรองแก่คนทำงานในการเรียกร้องสภาพการทำงานที่ดีขึ้น

การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้อาจเรียกได้ว่าเป็น “การเติบโตเต็มวัยที่ถูกบังคับ” การที่บริษัทต่างๆ เริ่มหันหลังให้กับวัฒนธรรม 996 ไม่ได้เกิดจากความเห็นอกเห็นใจเพียงอย่างเดียว แต่มันถูกขับเคลื่อนโดยความจำเป็นทางเศรษฐกิจ แรงกดดันด้านประชากรศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงค่านิยมของคนรุ่นใหม่ บริษัทไม่ได้แค่ตื่นขึ้นมาแล้วใส่ใจในสวัสดิภาพของพนักงาน แต่พวกเขากำลังถูก บีบ ให้ต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอดในสภาพแวดล้อมใหม่นี้ การสั่งห้ามทำงานล่วงเวลาจึงเป็นการตัดสินใจทางธุรกิจเชิงกลยุทธ์ที่มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพที่แท้จริง ลดต้นทุน (เช่น ค่าแท็กซี่ยามดึก) และเอาชนะในสงครามแย่งชิงบุคลากรที่มีทักษะซึ่งหาได้ยากขึ้นทุกวัน นี่คือสัญญาณของการเติบโตเต็มวัยของวัฒนธรรมองค์กรในจีน เป็นการก้าวออกจากกรอบความคิด เติบโตไปสู่โมเดลที่ยั่งยืนและขับเคลื่อนด้วยประสิทธิภาพมากขึ้น การเสื่อมถอยของวัฒนธรรม 996 จึงเป็นดัชนีชี้นำของการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจและสังคมที่ใหญ่กว่ามากในประเทศจีน ประเทศกำลังเปลี่ยนจากโมเดลที่พึ่งพาผลประโยชน์ทางประชากรและการพัฒนาอุตสาหกรรมแบบใช้แรงงานหนัก ไปสู่โมเดลที่ต้องพึ่งพานวัตกรรม ทักษะขั้นสูง และทุนมนุษย์ อนาคตทางเศรษฐกิจของจีนอาจขึ้นอยู่กับความสามารถในการนำพาประเทศผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไปให้ได้สำเร็จ

บทสรุป

วัฒนธรรม 996 เป็นมากกว่าแค่ตารางการทำงานอันหนักหน่วง มันคืออาการของชาติที่กำลังต่อสู้กับผลพวงจากการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วของตนเอง ความขัดแย้งระหว่างความทะเยอทะยานทางเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนโดยรัฐ และความอยู่ดีมีสุขของประชาชนได้เดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญ อนาคตของการทำงานในจีนกำลังถูกหล่อหลอมขึ้นในเบ้าหลอมแห่งความขัดแย้งนี้ และผลลัพธ์ของมันจะส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อเศรษฐกิจ สังคม และความสามารถในการแข่งขันระดับโลกของประเทศ

การ “กบฏเงียบ” ของคนรุ่นใหม่ที่เลือก “นอนราบ” แทนที่จะวิ่งตามความสำเร็จที่ไม่แน่นอน และการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพที่แท้จริงมากกว่าชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่ายุคสมัยของ การเติบโตกำลังค่อยๆ จางหายไป และถูกแทนที่ด้วยการแสวงหาอนาคตที่ยั่งยืน มีมนุษยธรรม และท้ายที่สุดคือมีนวัตกรรมที่แท้จริงมากกว่าเดิม การเดินทางของจีนออกจากเงาของ 996 จะเป็นการเดินทางที่ยาวนานและซับซ้อน แต่ทิศทางของการเปลี่ยนแปลงได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และมันจะกำหนดโฉมหน้าของจีนในทศวรรษต่อๆ ไปอย่างไม่ต้องสงสัย

You may also like