ตรุษจีน เทศกาลแห่งชีวิตชีวาและการเริ่มต้นใหม่
ท่ามกลางเสียงประทัดที่ดังกึกก้องไปทั่วทุกสารทิศ สีแดงสดที่สาดส่องไปทั่วทุกมุมเมือง กลิ่นหอมกรุ่นของอาหารมงคลนานาชนิด และรอยยิ้มอันอบอุ่นของการรวมตัวกันในครอบครัว นี่คือภาพบรรยากาศอันเปี่ยมด้วยชีวิตชีวาของเทศกาลตรุษจีน เทศกาลนี้ไม่ใช่เป็นเพียงแค่วันหยุดธรรมดา แต่เป็นเทศกาลที่สำคัญและยาวนานที่สุดในปฏิทินจีน เป็นดั่งหัวใจของวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงชาวจีนและผู้มีเชื้อสายจีนทั่วโลกไว้ด้วยกัน
เทศกาลนี้เป็นที่รู้จักในหลากหลายชื่อ แต่ทุกชื่อล้วนมีความหมายอันเป็นมงคลซ่อนอยู่
- เทศกาลตรุษจีน (Chinese New Year) เป็นชื่อที่คนทั่วโลกรู้จักและคุ้นเคยกันดีที่สุด
- เทศกาลฤดูใบไม้ผลิ (春节, Chūnjié) เป็นชื่อเรียกอย่างเป็นทางการในประเทศจีน ซึ่งสะท้อนถึงรากฐานที่ผูกพันกับวิถีเกษตรกรรมมาแต่โบราณ เป็นการเฉลิมฉลองการสิ้นสุดของฤดูหนาวอันยาวนานและหนาวเหน็บ เพื่อต้อนรับการมาถึงของฤดูใบไม้ผลิอันเป็นฤกษ์งามยามดีแห่งการเริ่มต้นเพาะปลูกครั้งใหม่
- ปีใหม่ตามจันทรคติ (Lunar New Year) เป็นชื่อที่บ่งบอกถึงการนับวันตามปฏิทินจันทรคติ ซึ่งทำให้วันตรุษจีนในแต่ละปีไม่ตรงกัน โดยปกติจะอยู่ระหว่างวันที่ 21 มกราคม ถึง 20 กุมภาพันธ์
ไม่ว่าจะถูกเรียกขานด้วยชื่อใด แก่นแท้ของเทศกาลยังคงไม่เปลี่ยนแปลง นั่นคือการเป็นช่วงเวลาแห่งการรวมตัวของครอบครัวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา (family reunion) การแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษและเทพเจ้าผู้คุ้มครอง และที่สำคัญคือการปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายและเรื่องไม่ดีของปีเก่าให้หมดไป เพื่อเปิดประตูต้อนรับโชคลาภ ความเจริญรุ่งเรือง และความเป็นสิริมงคลที่จะเข้ามาในปีใหม่
ความสำคัญของเทศกาลนี้ได้รับการยอมรับในระดับโลก เมื่อองค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้ประกาศขึ้นทะเบียน “ตรุษจีน” ให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติอย่างเป็นทางการ การประกาศนี้ได้สร้างความภาคภูมิใจอย่างยิ่งใหญ่ให้แก่ชาวจีนทั่วโลก สิ่งที่น่าสนใจคือ ยูเนสโกไม่ได้ระบุว่าใครคนใดคนหนึ่งเป็นผู้สืบทอดมรดกนี้ แต่ได้ให้คำนิยามอันทรงพลังว่าผู้สืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมนี้คือ “คนจีนทุกคน” สิ่งนี้เป็นการตอกย้ำว่าตรุษจีนไม่ใช่ประเพณีที่หยุดนิ่ง แต่เป็นวัฒนธรรมที่มีชีวิตชีวา ซึ่งได้รับการปฏิบัติและสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นโดยผู้คนนับล้านทั่วโลก แสดงให้เห็นถึงพลังของเทศกาลที่สามารถปรับตัวเข้ากับยุคสมัย แต่ยังคงไว้ซึ่งแก่นแท้ในการเชื่อมโยงผู้คนและสร้างความสามัคคีได้อย่างไม่เสื่อมคลาย
ต้นกำเนิดแห่งประเพณี ตำนานที่สร้างสรรค์การเฉลิมฉลอง
เบื้องหลังความรื่นเริงและสีสันอันสดใสของเทศกาลตรุษจีนนั้น มีเรื่องราวตำนานปรัมปราที่เล่าขานสืบต่อกันมา ซึ่งไม่เพียงแต่อธิบายที่มาของประเพณีต่างๆ แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงการแปรเปลี่ยนจากความหวาดกลัวไปสู่การเฉลิมฉลองอันยิ่งใหญ่
ตำนานปีศาจ “เหนียน” (年兽, Niánshòu)
ในอดีตกาล มีตำนานเล่าขานถึงปีศาจดุร้ายตนหนึ่งนามว่า “เหนียน” (年, Nián) ซึ่งพ้องเสียงกับคำว่า “ปี” ในภาษาจีน ปีศาจตนนี้จะออกมาจากถ้ำลึกในภูเขาหรือใต้ทะเลลึกในคืนวันสิ้นปี เพื่อบุกเข้าหมู่บ้านทำร้ายผู้คนและจับสัตว์เลี้ยงไปเป็นอาหาร ทุกๆ ปี ชาวบ้านจึงต้องพากันอพยพลูกเล็กเด็กแดงหนีตายเข้าไปในหุบเขาลึกเพื่อหลบซ่อนจากภยันตรายนี้
จนกระทั่งปีหนึ่ง ได้มีชายชราลึกลับผู้หนึ่ง (ซึ่งบ้างก็เชื่อว่าเป็นเทพเจ้าจำแลงกายมา) ปรากฏตัวขึ้นและอาสาจะช่วยกำจัดปีศาจเหนียน เขาได้เปิดเผยความลับว่า ปีศาจเหนียนนั้นมีจุดอ่อนที่สำคัญ 3 ประการ คือ มันกลัว สีแดง, แสงสว่าง และเสียงดัง เมื่อถึงเวลาที่ปีศาจเหนียนปรากฏตัว มันต้องตกใจสุดขีดเมื่อเห็นกระดาษสีแดงแปะอยู่เต็มประตูบ้าน มีแสงเทียนสว่างไสว และได้ยินเสียงประทัดดังสนั่นหวั่นไหว จนต้องวิ่งหนีเตลิดเปิดเปิงกลับไปยังที่ของมัน
จากองค์ความรู้ในตำนานนี้เอง ได้ก่อกำเนิดเป็นประเพณีสำคัญที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการประดับประดาบ้านเรือนด้วยกระดาษและโคมไฟสีแดง ไปจนถึงการจุดประทัดให้เกิดเสียงดังเพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้าย สิ่งที่น่าสนใจคือ องค์ประกอบหลักของการเฉลิมฉลองที่เปี่ยมด้วยความสุขในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นสีแดงอันเป็นมงคล เสียงประทัดแห่งความรื่นเริง และแสงไฟอันสว่างไสว ล้วนมีรากฐานมาจากเครื่องมือที่ใช้ป้องกันตัวจากความหวาดกลัวต่อปีศาจร้าย นี่คือการแปรเปลี่ยนทางวัฒนธรรมที่น่าทึ่ง จากพิธีกรรมเพื่อความอยู่รอดได้วิวัฒนาการมาสู่สัญลักษณ์แห่งการเฉลิมฉลองและความโชคดี เป็นการประกาศชัยชนะของมนุษย์เหนือความกลัวและความทุกข์ยากอย่างแท้จริง
ตำนานปีศาจ “ซุย” (祟) และที่มาของ “อั่งเปา”
นอกจากตำนานปีศาจเหนียนแล้ว ยังมีอีกเรื่องเล่าหนึ่งเกี่ยวกับปีศาจ “ซุย” (祟) ที่มักจะออกมาในคืนวันสิ้นปีเพื่อรบกวนและทำร้ายเด็กๆ ที่กำลังหลับใหล พ่อแม่ในสมัยนั้นจึงต้องจุดโคมไฟเฝ้าลูกๆ ตลอดทั้งคืน
มีอยู่ปีหนึ่ง คู่สามีภรรยาได้มอบเหรียญแปดเหรียญ (ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นแปดเซียนจำแลงกายมา) ห่อด้วยกระดาษสีแดงไว้ให้ลูกและวางไว้ข้างหมอน เมื่อปีศาจซุยย่างกรายเข้ามาหมายจะทำร้ายเด็ก แสงสว่างอันเจิดจ้าก็ได้ส่องประกายออกมาจากห่อกระดาษแดง ขับไล่ปีศาจซุยให้หนีหายไป
เหตุการณ์นี้ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของธรรมเนียมการให้เงิน “แต๊ะเอีย” ซึ่งในภาษาจีนกลางเรียกว่า “ยาสุ้ยเฉียน” (压祟钱, yāsuìqián) ที่แปลตรงตัวได้ว่า “เงินที่ใช้กดทับปีศาจซุย” ในยุคแรกเริ่ม เงินนี้จึงมีสถานะเป็นเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ที่มอบให้เด็กๆ เพื่อปกป้องคุ้มครองจากภยันตรายและสิ่งชั่วร้าย แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความหมายของประเพณีนี้ได้วิวัฒนาการและขยายขอบเขตกว้างขึ้น จากเครื่องรางป้องกันภัยที่เฉพาะเจาะจง ได้กลายมาเป็น “หงเปา” (红包, hóngbāo) หรือซองแดงที่เราคุ้นเคยกันในปัจจุบัน การมอบอั่งเปาในทุกวันนี้จึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่การป้องกันสิ่งชั่วร้าย แต่เป็นการส่งมอบคำอวยพรอันเป็นมงคล ขอให้ผู้รับมีโชคลาภ ความเจริญรุ่งเรือง และมีชีวิตที่ดีตลอดทั้งปี นี่คือวิวัฒนาการจากเครื่องรางป้องกันภัยไปสู่พรแห่งความเจริญ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าธรรมเนียมปฏิบัติสามารถปรับเปลี่ยนความหมายไปตามยุคสมัยได้อย่างไร
การเตรียมความพร้อม ปัดกวาดสิ่งเก่า ต้อนรับความมงคล
การทำความสะอาดครั้งใหญ่ (大扫除, dàsǎochú)
ก่อนวันตรุษจีนจะมาเยือน ทุกครัวเรือนจะพร้อมใจกันทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่ การกระทำนี้มีความหมายลึกซึ้งยิ่งกว่าเรื่องสุขอนามัยทั่วไป เพราะมันคือพิธีกรรมเชิงสัญลักษณ์ที่สำคัญอย่างยิ่ง ชาวจีนเชื่อว่าการปัดกวาดเช็ดถูทุกซอกทุกมุมของบ้าน เป็นการ “กวาด” เอาโชคร้าย ความเจ็บป่วย สิ่งอัปมงคล และพลังงานด้านลบต่างๆ ที่สะสมมาตลอดทั้งปีเก่าออกไปให้หมดสิ้น เพื่อเป็นการเตรียมพื้นที่อันบริสุทธิ์สำหรับต้อนรับโชคลาภและความเป็นสิริมงคลที่จะหลั่งไหลเข้ามาในปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง
อย่างไรก็ตาม มีข้อห้ามสำคัญที่ต้องยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด คือ จะไม่มีการทำความสะอาด กวาดบ้าน หรือทิ้งขยะในวันขึ้นปีใหม่ (วันชิวอิก) โดยเด็ดขาด เพราะการกระทำดังกล่าวเปรียบเสมือนการกวาดเอาโชคลาภและความมั่งคั่งที่เพิ่งเข้ามาใหม่ๆ ทิ้งออกไปจากบ้าน
การจับจ่ายซื้อของและประดับประดาบ้าน
บรรยากาศตามท้องตลาดในช่วงก่อนตรุษจีนจะคึกคักเป็นพิเศษ ผู้คนจะหลั่งไหลออกมาจับจ่ายซื้อของไหว้ อาหารมงคล เสื้อผ้าชุดใหม่ โดยเน้นสีแดงและสีทองซึ่งเป็นสีแห่งโชคลาภ รวมถึงของประดับตกแต่งบ้านนานาชนิด ของตกแต่งแต่ละชิ้นล้วนมีความหมายอันเป็นมงคลซ่อนอยู่
- โคมไฟจีนสีแดง (灯笼, dēnglóng): ถือเป็นสัญลักษณ์ที่ขาดไม่ได้ในเทศกาลนี้ โดยจะแขวนไว้ที่หน้าประตูบ้านเพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้ายและปัดเป่าโชคร้าย นอกจากนี้ แสงสว่างของโคมยังเปรียบได้กับแสงนำทางให้ชีวิตโชติช่วงชัชวาล และยังเชื่อว่าจะช่วยนำทางให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มองเห็นและเข้ามาประทานพรให้แก่บ้านหลังนั้นๆ
- ป้ายคำกลอนคู่ (春联, chūnlián): คือแผ่นกระดาษสีแดงที่เขียนคำอวยพรอันเป็นมงคลด้วยหมึกสีดำหรือสีทอง มักจะติดไว้เป็นคู่ที่สองข้างของกรอบประตู เป็นสัญลักษณ์ของการอำลาปีเก่าและกล่าวต้อนรับพรแห่งปีใหม่ที่จะเข้ามา
- กระดาษตัดลายมงคล (剪纸, jiǎnzhǐ): เป็นศิลปะการตัดกระดาษสีแดงให้เป็นลวดลายต่างๆ ที่มีความหมายมงคล เช่น รูปปลา (หมายถึงความอุดมสมบูรณ์ เหลือกินเหลือใช้), ดอกโบตั๋น (ความมั่งคั่งและเกียรติยศ), ต้นสน (ความอ่อนเยาว์และอายุยืนยาว) หรือรูปมังกร (อำนาจบารมี) เพื่อนำไปติดประดับที่หน้าต่างหรือผนังบ้าน
- อักษร “ฝู” กลับหัว (福, fú): เป็นการเล่นคำในภาษาจีนที่ลึกซึ้ง โดยการนำอักษร “ฝู” (福) ซึ่งแปลว่า “โชคลาภ” มาติดกลับหัว เพราะคำว่า “กลับหัว” (倒, dào) ออกเสียงพ้องกับคำว่า “มาถึง” (到, dào) ดังนั้น เมื่อพูดว่า “ฝูเต้าเลอ” (福倒了) ที่แปลว่า “โชคลาภกลับหัว” จะฟังดูเหมือนกับคำว่า “ฝูเต้าเลอ” (福到了) ซึ่งแปลว่า “โชคลาภมาถึงแล้ว” นั่นเอง
- ต้นส้มจี๊ดและผลไม้มงคล: การนำต้นส้มจี๊ดหรือส้มที่มีผลดกมาประดับบ้านเป็นที่นิยมอย่างมาก เนื่องจากคำว่า “ส้ม” ในภาษาจีนหลายถิ่นออกเสียงพ้องกับคำมงคลที่หมายถึงโชคดีและทองคำ
สามวันสำคัญ หัวใจแห่งการเฉลิมฉลองตรุษจีน
แม้ว่าเทศกาลตรุษจีนจะเฉลิมฉลองยาวนานถึง 15 วัน แต่ช่วงเวลาที่เป็นหัวใจสำคัญและคึกคักที่สุดจะประกอบด้วย 3 วันหลัก ซึ่งแต่ละวันมีธรรมเนียมปฏิบัติที่แตกต่างกันไป
วันจ่าย (ตื่อเส็ก)
คือวันก่อนวันสิ้นปี เป็นวันที่ทุกครอบครัวจะวุ่นวายกับการออกไปจับจ่ายซื้อของต่างๆ ให้พร้อมสำหรับการไหว้ในวันรุ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอาหารคาวหวาน ผลไม้มงคล เครื่องเซ่นไหว้ กระดาษเงินกระดาษทอง และของใช้อื่นๆ
วันไหว้ (วันสิ้นปี หรือ 除夕, Chúxī)
นี่คือวันส่งท้ายปีเก่าตามปฏิทินจันทรคติ ถือเป็นวันที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด กิจกรรมหลักในวันนี้คือการไหว้
- การไหว้: ตลอดทั้งวันจะมีการตั้งโต๊ะไหว้หลายรอบตามลำดับความสำคัญ
- ช่วงเช้ามืด: ไหว้เทพเจ้าต่างๆ (ไป๊เล่าเอี๊ยะ) เพื่อขอบคุณที่คุ้มครองตลอดปีและขอพรสำหรับปีใหม่
- ช่วงสาย: ไหว้บรรพบุรุษ (ไป๊เป้บ๊อ) เพื่อแสดงความกตัญญูและระลึกถึงผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว
- ช่วงบ่าย: ไหว้ทำทานแก่ผีไม่มีญาติ (ไป๊ฮ่อเฮียตี๋) ซึ่งเป็นการแสดงความเมตตากรุณา
- อาหารค่ำมื้อรวมญาติ (年夜饭, niányèfàn): นี่คือช่วงเวลาที่เป็นไฮไลท์ของวัน สมาชิกครอบครัวทุกคนไม่ว่าจะทำงานหรืออาศัยอยู่ที่ใด จะพยายามเดินทางกลับบ้านเกิดเพื่อมาร่วมรับประทานอาหารมื้อนี้ด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา โต๊ะอาหารจะเต็มไปด้วยอาหารมงคลนานาชนิด บรรยากาศอบอวลไปด้วยความรัก ความอบอุ่น และความสามัคคีของครอบครัว
- การเฝ้ารอข้ามปี (守岁, shǒusuì): หลังจากมื้อค่ำ สมาชิกในครอบครัวจะยังไม่แยกย้ายไปนอน แต่จะนั่งพูดคุย เล่นเกม หรือดูรายการโทรทัศน์พิเศษร่วมกัน เพื่อรอต้อนรับวันปีใหม่ที่จะมาถึงในเวลาเที่ยงคืน เป็นการปฏิบัติตามความเชื่อโบราณเพื่อขับไล่ปีศาจ (ตามตำนานเหนียน) และยังเชื่อว่าเป็นการอวยพรให้พ่อแม่และผู้ใหญ่ในบ้านมีอายุยืนยาว
วันเที่ยว (วันขึ้นปีใหม่ หรือ 初一, Chūyī)
เป็นวันแรกของปีใหม่ หรือที่เรียกว่า “วันถือ” ซึ่งหมายถึงวันที่มีข้อห้ามและข้อพึงปฏิบัติมากมายเพื่อความเป็นสิริมงคล ทุกคนจะสวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ที่มีสีสันสดใส โดยเฉพาะสีแดง
- การเยี่ยมญาติอวยพร (拜年, bàinián): ธรรมเนียม “ป้ายเจีย” คือการที่ลูกหลานจะเดินทางไปเยี่ยมคารวะและกล่าวคำอวยพรปีใหม่แก่ญาติผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ โดยจะนำส้ม 4 ผลติดตัวไปมอบให้ ซึ่งเจ้าบ้านก็จะรับไว้และนำส้มของที่บ้านมาแลกเปลี่ยนกลับไป 2 ผล เป็นสัญลักษณ์ของการแลกเปลี่ยนโชคลาภซึ่งกันและกัน
- การให้อั่งเปา (红包, hóngbāo): ผู้ใหญ่หรือผู้ที่ทำงานมีรายได้แล้ว จะมอบซองสีแดงที่บรรจุเงินไว้ให้แก่เด็กๆ หรือผู้ที่ยังไม่มีรายได้ พร้อมกล่าวคำอวยพรอันเป็นมงคล
- การเชิดสิงโตและมังกร (舞狮/舞龙): ตามท้องถนนและย่านชุมชนจะมีการแสดงเชิดสิงโตและมังกรอย่างคึกคัก เสียงกลองที่ดังกระหึ่มและท่วงท่าที่แข็งแกร่งทรงพลัง เชื่อว่าจะช่วยขับไล่สิ่งชั่วร้ายและนำพาโชคลาภความเจริญรุ่งเรืองมาให้
วันที่สองของปี (初二, Chū’èr): วันกลับบ้านของลูกสาว
วันที่สองของปีใหม่มีความสำคัญเป็นพิเศษสำหรับผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว ในสังคมจีนดั้งเดิมซึ่งยึดถือระบบสืบสกุลทางฝ่ายชาย เมื่อผู้หญิงแต่งงานออกไปจะถือว่าเป็นสมาชิกของครอบครัวสามีอย่างสมบูรณ์ และมีโอกาสกลับไปเยี่ยมบ้านเดิมของตนน้อยมาก ดังนั้น วันที่สองของเทศกาลตรุษจีนจึงถูกกำหนดให้เป็นวันที่ลูกสาวที่แต่งงานแล้วจะได้เดินทางกลับไปเยี่ยมคารวะพ่อแม่และครอบครัวของตนเองอย่างเป็นทางการ วันนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงวันเยี่ยมญาติธรรมดา แต่เป็นวันที่เปี่ยมไปด้วยความหมายทางอารมณ์ เป็น “วาล์วระบายความรู้สึก” ที่สำคัญซึ่งช่วยให้ผู้หญิงยังคงรักษาความผูกพันกับครอบครัวเดิมของตนไว้ได้ และเป็นวันที่พ่อแม่จะได้เห็นหน้าลูกสาวและหลานๆ อย่างชื่นใจ
อิ่มอร่อยรับความเฮง: ถอดรหัสความหมายอาหารมงคล
อาหารที่ปรากฏบนโต๊ะในช่วงเทศกาลตรุษจีนนั้น ไม่ได้เป็นเพียงแค่อาหารเพื่อความอิ่มท้อง แต่ทุกเมนูล้วนผ่านการคัดสรรมาอย่างดีและมีความหมายอันเป็นมงคลซ่อนอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะมาจากการเล่นคำพ้องเสียงในภาษาจีน หรือจากรูปลักษณ์และสีสันของอาหารจานนั้นๆ
หลักการสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความเชื่อนี้คือพลังของภาษาและเสียงในวัฒนธรรมจีน คำพูดไม่ได้มีไว้เพื่อบรรยายสิ่งต่างๆ เท่านั้น แต่ยังเชื่อว่าสามารถสร้างหรือเหนี่ยวนำความเป็นจริงได้ ดังนั้น การรับประทานอาหารที่มีชื่อพ้องเสียงกับคำมงคล จึงไม่ใช่แค่การกระทำเชิงสัญลักษณ์ แต่เป็นพิธีกรรมเพื่อนำพรนั้นๆ เข้ามาสู่ตัวเอง เป็นดั่ง “พรที่กินได้” ตัวอย่างเช่น คำว่า “ปลา” ในภาษาจีนคือ 鱼 (yú) ซึ่งออกเสียงเหมือนกับคำว่า 余 (yú) ที่แปลว่า “เหลือเฟือ” หรือ “มีส่วนเกิน” การกินปลาจึงเปรียบเสมือนการเชื้อเชิญความอุดมสมบูรณ์ให้เข้ามาในชีวิตตลอดทั้งปี เป็นคำอวยพรที่สามารถลิ้มรสได้โดยตรง
อาหาร | อักษรจีน | พินอิน | ความหมายมงคล | เหตุผล |
ปลา | 鱼 | yú | เหลือกินเหลือใช้, อุดมสมบูรณ์ | พ้องเสียงกับคำว่า 余 (yú) ที่แปลว่า เหลือเฟือ |
เกี๊ยว | 饺子 | jiǎozi | ความมั่งคั่งร่ำรวย | รูปร่างคล้ายเงินจีนโบราณ (หยวนเป่า) |
ปอเปี๊ยะทอด | 春卷 | chūnjuǎn | ความร่ำรวย, มีทองเต็มบ้าน | รูปร่างและสีเหลืองทองคล้ายแท่งทองคำ |
ขนมเข่ง | 年糕 | niángāo | การงาน/ชีวิตก้าวหน้าสูงขึ้น | พ้องเสียงกับ 年高 (nián gāo) ที่แปลว่า สูงขึ้นทุกปี |
บัวลอยจีน | 汤圆 | tāngyuán | ครอบครัวอบอุ่น กลมเกลียว | รูปร่างกลมและการออกเสียง (tuányuán) คล้ายคำว่า 团圆 (reunion) ที่แปลว่า การพร้อมหน้า |
บะหมี่/หมี่ซั่ว | 长寿面 | chángshòumiàn | อายุยืนยาว | ลักษณะที่เป็นเส้นยาวโดยไม่ตัด |
ส้ม | 橘 / 橙 | jú / chéng | โชคดี, ความสำเร็จ, ความมั่งคั่ง | สีทองเหมือนเงินทอง และพ้องเสียงกับคำมงคล 吉 (jí) และ 成 (chéng) |
ไก่ | 鸡 | jī | ความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน | พ้องเสียงกับคำว่า 吉 (jí) ที่แปลว่า สิริมงคล |
เป็ด | 鸭 | yā | ความสามารถรอบด้าน, ความบริสุทธิ์ | สื่อถึงความมั่งคั่งและความสะอาดบริสุทธิ์ |
ขนมถ้วยฟู | 发糕 | fāgāo | ความเจริญรุ่งเรืองเฟื่องฟู | พ้องเสียงกับคำว่า 发 (fā) ที่แปลว่า เจริญรุ่งเรือง |
เคล็ดลับเสริมมงคล ข้อปฏิบัติและข้อห้ามในวันตรุษจีน
ช่วงเทศกาลตรุษจีน โดยเฉพาะในวันขึ้นปีใหม่ (วันชิวอิก) ถือเป็นช่วงเวลาที่เปราะบางและมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อโชคชะตาตลอดทั้งปีที่กำลังจะมาถึง ด้วยเหตุนี้ จึงมีข้อห้ามและความเชื่อมากมายที่สืบทอดกันมาเพื่อปกป้องโชคลาภที่กำลังจะเข้ามาและป้องกันไม่ให้สิ่งไม่ดีเกิดขึ้น
ข้อห้ามเหล่านี้อาจดูเหมือนเป็นความเชื่องมงายสำหรับคนภายนอก แต่หากพิจารณาให้ลึกซึ้งจะพบว่ามันมีตรรกะภายในที่สอดคล้องกัน นั่นคือการมองว่าช่วงปีใหม่เป็น “พื้นที่เปลี่ยนผ่าน” อันศักดิ์สิทธิ์ระหว่างปีเก่าและปีใหม่ การกระทำใดๆ ในช่วงเวลานี้จะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อทั้งปี ข้อห้ามส่วนใหญ่จึงมุ่งเน้นไปที่การหลีกเลี่ยงการกระทำที่เกี่ยวข้องกับการสูญเสีย การทำลาย การสิ้นสุด หรือสิ่งอัปมงคล เช่น การตัด การทิ้ง การร้องไห้ หรือการพูดถึงความตาย การปฏิบัติตามข้อห้ามเหล่านี้จึงเป็นการสร้าง “ความบริสุทธิ์ทางพิธีกรรม” เพื่อเตรียมภาชนะที่สมบูรณ์พร้อมสำหรับรับพรและโชคลาภ เป็นความพยายามที่จะปกป้องโชคที่เพิ่งก่อตัวขึ้นอย่างระมัดระวัง
ข้อห้ามสำคัญในวันตรุษจีน
- ห้ามทำความสะอาดบ้าน: การกวาดบ้านหรือทิ้งขยะในวันปีใหม่ เปรียบเสมือนการกวาดเอาโชคลาภเงินทองออกไปจากบ้าน
- ห้ามสระผมหรือตัดผม: คำว่า “ผม” (发, fà) ในภาษาจีนพ้องเสียงกับคำว่า “ความมั่งคั่ง” (发, fā) การสระหรือตัดผมจึงเหมือนกับการชะล้างหรือตัดเอาความมั่งคั่งทิ้งไป
- ห้ามใช้ของมีคม (มีด, กรรไกร): เชื่อกันว่าความแหลมคมของสิ่งของเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ของการ “ตัด” โชคลาภหรือความสัมพันธ์อันดีงามให้ขาดสะบั้นลง
- ห้ามซักผ้า: ตามความเชื่อ วันตรุษจีนเป็นวันประสูติของเทพเจ้าแห่งสายน้ำ การซักผ้าหรือใช้น้ำในปริมาณมากจึงถือเป็นการลบหลู่ท่าน
- ห้ามพูดคำหยาบและเรื่องอัปมงคล: ควรหลีกเลี่ยงการพูดคำที่ไม่เป็นมงคล เช่น คำว่า “ตาย” หรือคำที่เกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วย และห้ามทะเลาะเบาะแว้ง เพื่อให้ปีใหม่เริ่มต้นด้วยบรรยากาศที่ดี
- ห้ามทำของแตก: การทำสิ่งของแตก เช่น ถ้วยชาม ถือเป็นลางร้ายที่สื่อถึงความแตกแยกหรือโชคร้าย หากเกิดอุบัติเหตุทำของแตกโดยไม่ตั้งใจ ให้รีบพูดแก้เคล็ดว่า “落地开花” (luò dì kāi huā) ซึ่งแปลว่า “เมื่อตกลงถึงพื้นก็เบ่งบานเป็นดอกไม้” เพื่อเป็นการเปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นดี
- ห้ามใส่เสื้อผ้าสีขาว-ดำ: เนื่องจากเป็นสีที่เกี่ยวข้องกับงานไว้ทุกข์ จึงควรหลีกเลี่ยงและหันมาสวมใส่เสื้อผ้าสีแดงหรือสีสันสดใสแทน
- ห้ามร้องไห้: เชื่อกันว่าหากร้องไห้ในวันปีใหม่ จะทำให้ต้องพบเจอกับเรื่องเศร้าโศกเสียใจไปตลอดทั้งปี
คลังศัพท์และวลีมงคลต้องรู้ รับตรุษจีน
เพื่อให้การเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น การเรียนรู้คำศัพท์และคำอวยพรภาษาจีนที่เกี่ยวข้องจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรพลาด
หมวดหมู่ | อักษรจีน | พินอิน | คำอ่านภาษาไทย | คำแปล |
ชื่อเทศกาล | 春节 | Chūnjié | ชุนเจี๋ย | เทศกาลฤดูใบไม้ผลิ |
新年 | Xīnnián | ซินเหนียน | ปีใหม่ | |
คำอวยพร (ทั่วไป) | 新年快乐 | xīnnián kuàilè | ซินเหนียนไคว่เล่อ | ขอให้มีความสุขในวันปีใหม่ |
恭喜发财 | gōngxǐ fācái | กงสี่ฟาไฉ | ขอให้ท่านร่ำรวย | |
万事如意 | wànshì rúyì | ว่านซื่อหรูอี้ | ขอให้สมปรารถนาในทุกเรื่อง | |
身体健康 | shēntǐ jiànkāng | เชินถี่เจี้ยนคัง | ขอให้สุขภาพแข็งแรง | |
合家平安 | héjiā píng’ān | เหอเจียผิงอัน | ขอให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข | |
คำอวยพร (ธุรกิจ) | 生意兴隆 | shēngyì xīnglóng | เซิงอี้ซิงหลง | ขอให้กิจการเจริญรุ่งเรือง |
招财进宝 | zhāocái jìn bǎo | เจาไฉจิ้นเป่า | กวักทรัพย์รับโชค เงินทองไหลมา | |
步步高升 | bùbù gāoshēng | ปู้ปู้เกาเชิง | ขอให้มีความเจริญก้าวหน้าในตำแหน่ง | |
กิจกรรมและประเพณี | 吃团圆饭 | chī tuányuán fàn | ชือถวนหยวนฟ่าน | กินข้าวพร้อมหน้าครอบครัว |
拜年 | bàinián | ไป้เหนียน | การไปอวยพรปีใหม่ | |
红包 | hóngbāo | หงเปา | ซองแดง (ใส่เงินให้เป็นของขวัญ) | |
放鞭炮 | fàng biānpào | ฟ่างเปียนพ่าว | การจุดประทัด | |
舞狮 | wǔ shī | อู่ซือ | การเชิดสิงโต | |
舞龙 | wǔ lóng | อู่หลง | การเชิดมังกร | |
อาหารมงคล | 鱼 | yú | อวี๋ | ปลา |
饺子 | jiǎozi | เจี่ยวจึ | เกี๊ยว | |
年糕 | niángāo | เหนียนเกา | ขนมเข่ง | |
汤圆 | tāngyuán | ทังหยวน | ขนมบัวลอย |