1 ตุลาคม วันชาติจีน มหกรรมแห่งชาติที่โลกจับตา

by admin

 

 

 

รุ่งอรุณแห่งชาติใหม่ ณ จัตุรัสเทียนอันเหมิน

ณ บ่ายสามโมงของวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1949 ใจกลางกรุงปักกิ่งที่เพิ่งได้รับการเปลี่ยนชื่อใหม่ จัตุรัสเทียนอันเหมินได้กลายเป็นเวทีแห่งประวัติศาสตร์โลก ฝูงชนทั้งทหารและพลเรือนกว่า 300,000 คน มารวมตัวกันเพื่อเป็นสักขีพยานในการกำเนิดของจีนยุคใหม่ ในวินาทีนั้น เหมา เจ๋อตง ได้ปรากฏตัวบนพลับพลาประตูเทียนอันเหมิน และกล่าวคำประกาศที่เปลี่ยนแปลงชะตากรรมของชาติไปตลอดกาล

เสียงของเขากึกก้องไปทั่วจัตุรัสด้วยประโยคอมตะ:
“同胞们,中华人民共和国中央人民政府今天成立了!”
(Tóngbāomen, Zhōnghuá Rénmín Gònghéguó Zhōngyāng Rénmín Zhèngfǔ jīntiān chénglì le!)
ซึ่งแปลเป็นไทยว่า “เพื่อนร่วมชาติทั้งหลาย รัฐบาลประชาชนกลางแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ก่อตั้งขึ้นแล้วในวันนี้

สิ้นเสียงประกาศ เพลง “มาร์ชทหารอาสา” (March of the Volunteers) ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นเพลงชาติใหม่ได้ถูกบรรเลงขึ้น พร้อมกับการเชิญธงแดงห้าดาว ผืนแรกขึ้นสู่ยอดเสาอย่างช้าๆ ตามด้วยเสียงปืนใหญ่สลุต 28 นัด ที่ยิงขึ้นฟ้าเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้อันยาวนาน 28 ปีของพรรคคอมมิวนิสต์จีน วันนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงวันประกาศอิสรภาพ แต่เป็นจุดเปลี่ยนที่พลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์จีนและส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่วระเบียบโลก บทความนี้จะพาไปสำรวจความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการเฉลิมฉลองอันยิ่งใหญ่ในทุกมิติ ตั้งแต่รากเหง้าทางประวัติศาสตร์ สัญลักษณ์ทางการเมือง ไปจนถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมที่ยังคงปรากฏให้เห็นจนถึงปัจจุบัน

 

ทำไมต้องเป็นวันที่ 1 ตุลาคม จากสงครามกลางเมืองสู่การสถาปนา

ก่อนจะถึงวันที่ 1 ตุลาคม 1949 จีนได้ผ่านเส้นทางประวัติศาสตร์อันยาวนานและนองเลือด การล่มสลายของราชวงศ์ชิงในการปฏิวัติซินไฮ่ปี 1911 ได้นำไปสู่การก่อตั้งสาธารณรัฐจีนโดย ดร.ซุน ยัตเซ็น แต่ความสงบสุขก็คงอยู่ไม่นาน ประเทศต้องเข้าสู่ยุคแห่งความขัดแย้งภายในที่เรียกว่า “สงครามกลางเมือง” ระหว่างพรรคก๊กมินตั๋ง (KMT) ภายใต้การนำของเจียง ไคเช็ค และพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) ที่นำโดยเหมา เจ๋อตง

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง สงครามกลางเมืองได้ปะทุขึ้นอีกครั้งอย่างรุนแรง จนกระทั่งในปี 1949 กองทัพปลดปล่อยประชาชนของพรรคคอมมิวนิสต์เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด ทำให้เจียง ไคเช็คและรัฐบาลก๊กมินตั๋งต้องลี้ภัยไปยังเกาะไต้หวัน พรรคคอมมิวนิสต์จึงได้อำนาจในการปกครองจีนแผ่นดินใหญ่ทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม มีความเข้าใจผิดที่พบบ่อยว่าวันที่ 1 ตุลาคม คือวันแรกที่มีการประกาศตั้งประเทศ ในความเป็นจริงแล้ว “การก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน” ได้รับการประกาศครั้งแรกในวันที่ 21 กันยายน 1949 ภายในที่ประชุมสภาที่ปรึกษาทางการเมืองของประชาชนจีน (CPPCC) แต่วันที่ 1 ตุลาคม ถูกเลือกให้เป็นวันประกอบพิธีเฉลิมฉลองต่อสาธารณชนอย่างเป็นทางการตามข้อเสนอของสมาชิกสภาที่ปรึกษาฯ หม่าซูหลุน (Ma Xulun) ซึ่งรัฐบาลประชาชนกลางได้มีมติรับรองในวันที่ 2 ตุลาคม 1949 ให้วันที่ 1 ตุลาคมของทุกปีเป็นวันชาติ

การเลือกวันที่ 1 ตุลาคม จึงไม่ใช่แค่การเลือกวัน แต่เป็นการกระทำเชิงสัญลักษณ์ที่ถูกออกแบบมาอย่างแยบยล แม้ว่าสงครามกลางเมืองจะยังไม่สิ้นสุดโดยสมบูรณ์ในขณะนั้น (กองกำลังก๊กมินตั๋งยังคงต่อต้านและถอยไปยังไต้หวันจนถึงเดือนธันวาคม 1949) การจัดพิธีเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ต่อหน้าสาธารณชนและประชาคมโลกจึงเป็นการ “สร้างประวัติศาสตร์” เชิงรุก เพื่อประกาศชัยชนะและสถาปนาความชอบธรรมในการปกครองของระบอบใหม่อย่างเป็นทางการ การเลือกจัตุรัสเทียนอันเหมิน ซึ่งเป็นศูนย์กลางอำนาจของจักรพรรดิในอดีต เป็นสถานที่ประกาศชัยชนะ ยิ่งเป็นการตอกย้ำการล้มล้างระเบียบเก่าและสถาปนาระเบียบใหม่ที่อำนาจสูงสุดเป็นของ “ประชาชน” อย่างสมบูรณ์

สัญลักษณ์แห่งอำนาจและความภาคภูมิใจ มหกรรมการเฉลิมฉลอง

การเฉลิมฉลองวันชาติจีนในปัจจุบันเต็มไปด้วยพิธีกรรมและสัญลักษณ์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อปลูกฝังความรู้สึกร่วมของคนในชาติ โดยมีกิจกรรมสำคัญที่กลายเป็นภาพจำไปทั่วโลก

พิธีเชิญธงชาติ วินาทีแห่งความศักดิ์สิทธิ์ของชาติ

แม้พิธีเชิญธงชาติที่จัตุรัสเทียนอันเหมินจะเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นทุกวัน แต่ในเช้าวันที่ 1 ตุลาคม พิธีจะมีความพิเศษและยิ่งใหญ่กว่าปกติ กลายเป็นไฮไลท์สำคัญที่ดึงดูดประชาชนและนักท่องเที่ยวเรือนแสนให้มารวมตัวกันตั้งแต่ก่อนรุ่งสางเพื่อจับจองพื้นที่ที่ดีที่สุด พิธีจะเริ่มต้นขึ้นพร้อมกับแสงแรกของดวงอาทิตย์อย่างแม่นยำ กองทหารเกียรติยศแห่งกองทัพปลดปล่อยประชาชน (PLA Beijing Garrison Honor Guard Battalion) ในเครื่องแบบเต็มยศ จะเดินสวนสนามออกจากประตูเทียนอันเหมินด้วยท่วงท่าที่สง่างามและพร้อมเพรียงกันทุกฝีก้าว สำหรับชาวจีนจำนวนมาก วินาทีที่ได้เห็นธงแดงห้าดาวโบกสะบัดสู่ยอดเสาพร้อมกับเสียงเพลงชาติที่ดังกึกก้อง คือช่วงเวลาที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจและตื้นตันใจ หลายคนให้สัมภาษณ์กับสื่อว่าถึงกับน้ำตาคลอ ซึ่งสะท้อนถึงความผูกพันทางอารมณ์อย่างลึกซึ้งที่พวกเขามีต่อสัญลักษณ์ของชาติ

 

การสวนสนามกองทัพ การแสดงแสนยานุภาพที่โลกจับตา

พิธีสวนสนามในวันชาติจีนมีวิวัฒนาการที่สะท้อนถึงประวัติศาสตร์และสถานะของประเทศในแต่ละยุคสมัย ในช่วงทศวรรษแรก (1950s) พิธีสวนสนามจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีและได้รับอิทธิพลอย่างสูงจากสหภาพโซเวียต แต่ในปี 1960 รัฐบาลได้ประกาศใช้นโยบาย “ประหยัดอดออมเพื่อสร้างชาติ” ทำให้รูปแบบการจัดงานเปลี่ยนไปเป็นการจัดงานเฉลิมฉลองขนาดเล็กทุก 5 ปี และการสวนสนามครั้งใหญ่ทุก 10 ปี การกลับมาจัดพิธีสวนสนามอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้งในปี 1984, 1999, 2009 และล่าสุดในปี 2019 จึงเป็นภาพสะท้อนของความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจและการเมืองที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจนคือยุทโธปกรณ์ที่นำมาจัดแสดง จากในอดีตที่ใช้รูปแบบของโซเวียต ปัจจุบันได้กลายเป็นเวทีแสดงเทคโนโลยีทางทหารที่ “ผลิตในจีน” ทั้งหมด เช่น ขีปนาวุธข้ามทวีปตงเฟิง-41 (DF-41) ที่กล่าวกันว่าสามารถยิงถึงสหรัฐอเมริกาได้ใน 30 นาที, อากาศยานไร้คนขับความเร็วเหนือเสียง WZ-8, และรถถังประจัญบาน Type 99A ดังนั้น การสวนสนามจึงเป็นมากกว่าการแสดงอาวุธ แต่เป็นการส่งสารทางการเมืองที่ทรงพลัง เพื่อประกาศแสนยานุภาพทางทหาร ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และความพร้อมในการปกป้องอธิปไตยของชาติให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาชาวโลก

 

ขบวนแห่พลเรือนและสีสันทั่วกรุงปักกิ่ง

ภายหลังการสวนสนามของกองทัพ จะตามมาด้วยขบวนแห่ของมวลชนพลเรือนขนาดมหึมา ซึ่งมีผู้เข้าร่วมนับแสนคนและขบวนรถที่ตกแต่งอย่างวิจิตรตระการตา ขบวนแห่เหล่านี้จะบอกเล่าเรื่องราวการเดินทางอันยิ่งใหญ่ของจีน แบ่งเป็นตอนต่างๆ ตั้งแต่ยุคก่อตั้งประเทศ, ยุคแห่งการปฏิรูปและเปิดประเทศ, ไปจนถึงยุคแห่ง “ความฝันของจีน” ในปัจจุบัน ขณะเดียวกัน ทั่วทั้งกรุงปักกิ่งและเมืองใหญ่ต่างๆ จะถูกเปลี่ยนให้เป็นสีแดงสดด้วยธงชาติที่ประดับประดาไปทั่วทุกหนแห่ง พร้อมด้วยโคมไฟและป้ายคำขวัญปลุกใจรักชาติ สัญลักษณ์ที่โดดเด่นที่สุดคือ “ตะกร้าดอกไม้ยักษ์” ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางจัตุรัสเทียนอันเหมิน ซึ่งกลายเป็นจุดถ่ายภาพยอดนิยมที่ทุกคนต้องมาเยือน

 

งานกาลาและการแสดงยามค่ำคืน

เมื่อสิ้นสุดกิจกรรมในเวลากลางวัน การเฉลิมฉลองยังคงดำเนินต่อไปในยามค่ำคืนด้วย “งานเลี้ยงกาลา” ขนาดมหึมา ณ จัตุรัสเทียนอันเหมิน โดยเฉพาะในปีครบรอบใหญ่ๆ งานนี้เป็นการแสดงแสนยานุภาพทางวัฒนธรรมและเทคโนโลยีที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว ประกอบด้วยการแสดงดนตรี การเต้นรำของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ การแสดงศิลปะการต่อสู้ ไปจนถึงการใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยอย่างจอ LED พับได้ที่นักแสดงนับพันใช้แปรขบวนเป็นภาพต่างๆ

หากการที่สะท้อนความสำเร็จทางวัฒนธรรมและความสุขของประชาชน การเฉลิมฉลองจะปิดท้ายอย่างสมบูรณ์แบบด้วยการแสดงพลุดอกไม้ไฟที่ยิ่งใหญ่ตระการตา ดังเช่นในงานฉลองครบรอบ 70 ปี ในปี 2019 ที่มีการจุดพลุ 70 แถวตามแนวถนนฉางอาน และพลุที่แปรอักษรเป็นเลข “70” บนท้องฟ้า กลายเป็นภาพจำที่แสดงถึงความรุ่งโรจน์ของชาติไปทั่วโลก

ลำดับของกิจกรรมเหล่านี้ถูกออกแบบมาอย่างเป็นระบบเพื่อสร้าง “ประสบการณ์ร่วมทางอารมณ์” ที่เชื่อมโยงความสำเร็จของรัฐเข้ากับความภาคภูมิใจส่วนบุคคลของพลเมือง เส้นเรื่องทางอารมณ์เริ่มต้นจากความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์และเคารพยำเกรงในพิธีเชิญธง ตามมาด้วยความภาคภูมิใจในพลังอำนาจของชาติที่ได้เห็นจากการสวนสนาม และปิดท้ายด้วยความรู้สึกสนุกสนานและการมีส่วนร่วมในขบวนแห่ของพลเรือน การที่สื่อของรัฐมักนำเสนอภาพประชาชนที่ตื้นตันน้ำตาไหลหรือภาพความสุขของมวลชน ไม่ใช่เพียงการรายงานข่าว แต่เป็นการผลิตซ้ำและขยายผล “อารมณ์ที่พึงประสงค์” นี้ให้กระจายไปทั่วสังคม ทำให้มหกรรมการเฉลิมฉลองกลายเป็นกลไกทางสังคมที่ทรงพลังในการหล่อหลอมอัตลักษณ์แห่งชาติและความจงรักภักดีต่อระบอบการปกครอง

 

“สัปดาห์ทอง” (Golden Week) เมื่อ 1.4 พันล้านคนหยุดเพื่อชาติ

วันชาติจีนไม่ได้มีความสำคัญเพียงวันเดียว แต่ได้ขยายไปสู่ช่วงวันหยุดยาว 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 1 ถึง 7 ตุลาคม ที่รู้จักกันในชื่อ “สัปดาห์ทอง” หรือ “หวงจินโจว” (黄金周, huángjīnzhōu) ซึ่งรัฐบาลจีนริเริ่มขึ้นโดยมีเป้าหมายหลักเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจภายในประเทศ

สำหรับคนจีนจำนวนมาก นี่คือช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนและการใช้เวลาร่วมกับครอบครัว นอกจากการเดินทางท่องเที่ยวแล้ว กิจกรรมที่พบเห็นได้ทั่วไปคือการรวมญาติเพื่อรับประทานอาหารมื้อพิเศษ หรือการนั่งชมการถ่ายทอดสดพิธีสวนสนามและงานกาลาภาคค่ำพร้อมหน้ากันทั้งครอบครัว ซึ่งเป็นประเพณีสมัยใหม่ที่เชื่อมโยงครอบครัวเข้ากับเรื่องราวของชาติผ่านหน้าจอโทรทัศน์

ช่วงเวลานี้ได้ก่อให้เกิดปรากฏการณ์การเดินทางครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของโลก เมื่อชาวจีนหลายร้อยล้านคนออกเดินทางท่องเที่ยวพร้อมกันทั้งในและต่างประเทศ ส่งผลให้สนามบิน สถานีรถไฟ และแหล่งท่องเที่ยวสำคัญทั่วประเทศเต็มไปด้วยคลื่นมหาชน ผลกระทบทางเศรษฐกิจนั้นมหาศาล ข้อมูลล่าสุดในปี 2024 ระบุว่า มียอดการเดินทางข้ามภูมิภาคสูงถึง 1,940 ล้านครั้ง ยอดจองตั๋วเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมเพิ่มขึ้น 3 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 ในปี 2019 และการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มเฟื่องฟูโดยมียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 33.4% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า นอกจากนี้ยังเกิดกระแสนิยมใหม่ๆ เช่น การท่องเที่ยวในเมืองเล็กหรือระดับอำเภอที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว

ปรากฏการณ์นี้ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของหลายประเทศที่ชาวจีนเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มหลัก รวมถึงประเทศไทยซึ่งเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยม ในทางกลับกัน การหยุดงานพร้อมกันทั้งประเทศของโรงงานและบริษัทขนส่ง ก็สร้างความท้าทายให้กับภาคธุรกิจทั่วโลกที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าสินค้าจากจีน ซึ่งจำเป็นต้องวางแผนการสั่งซื้อล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงความล่าช้าและปัญหาสินค้าขาดสต็อก

สัปดาห์ทอง” คือภาพสะท้อนที่ชัดเจนของโมเดล “เศรษฐกิจสังคมนิยมแบบจีน” ที่รัฐสามารถใช้กลไกทางการเมืองอย่างการกำหนดวันหยุดยาว เพื่อขับเคลื่อนกลไกตลาดอย่างการบริโภคและการท่องเที่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความสำเร็จในการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นปรากฏชัดเจนผ่านตัวเลขการใช้จ่ายที่ทำลายสถิติ แต่ในขณะเดียวกัน ปรากฏการณ์นี้ก็ได้เผยให้เห็นถึงความท้าทายของ “การพัฒนาที่ไม่สมดุล” การสร้าง “อุปสงค์เทียม” ที่กระจุกตัวอยู่ในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อให้เกิดปัญหาคอขวดในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบคมนาคมที่แออัดยัดเยียดและราคาที่พักที่พุ่งสูง คำแนะนำที่พบบ่อยสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติคือ “ให้หลีกเลี่ยง” การเดินทางมาจีนในช่วงนี้ ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความขัดแย้งภายในอย่างชัดเจน กล่าวคือ มันเป็นช่วงเวลาที่จีนแสดงศักยภาพทางเศรษฐกิจสูงสุด แต่กลับไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับประสบการณ์การท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ อันเป็นผลพวงของการเติบโตอย่างรวดเร็วที่โครงสร้างพื้นฐานและภาคบริการยังต้องปรับตัวตามให้ทัน

 

มากกว่าวันหยุด วันชาติในฐานะเครื่องมือปลูกฝังความรักชาติ

วันชาติจีนเป็นมากกว่าวันหยุดพักผ่อน แต่เป็นช่วงเวลาสำคัญที่รัฐบาลใช้เป็นเครื่องมือในการ “ศึกษาความรักชาติ” เพื่อปลูกฝังความภาคภูมิใจในชาติและความจงรักภักดีต่อพรรคคอมมิวนิสต์ โดยเฉพาะในหมู่เยาวชน สถาบันการศึกษาทั่วประเทศจะจัดกิจกรรมพิเศษ เช่น พิธีเชิญธง การกล่าวสุนทรพจน์ และโครงการให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์การปฏิวัติและบทบาทของพรรคในการนำพาประเทศชาติ

ภาพยนตร์วันชาติ วัฒนธรรมประชานิยมในบริการชาติ

นอกเหนือจากพิธีกรรมที่เป็นทางการ การปลูกฝังความรักชาติยังแทรกซึมอยู่ในวัฒนธรรมสมัยนิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ช่วงสัปดาห์ทองถือเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ทำกำไรสูงสุดของวงการภาพยนตร์จีน ซึ่งมักจะมีการเปิดตัวภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่มีเนื้อหาปลุกใจรักชาติ บอกเล่าเรื่องราววีรกรรมทางประวัติศาสตร์ หรือความสำเร็จของชาติ ภาพยนตร์เหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำรายได้ถล่มทลาย โดยในปี 2024 สามารถทำรายได้รวมกว่า 2.1 พันล้านหยวนในช่วงวันหยุดยาว แต่ยังทำหน้าที่เป็นสื่อบันเทิงที่ช่วยเสริมสร้างความรู้สึกภาคภูมิใจในชาติให้กับผู้ชมในวงกว้างอีกด้วย

กลไกของสื่อรัฐ การตอกย้ำเรื่องเล่าแห่งชาติ

กลไกที่ทรงพลังที่สุดในการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติในช่วงเวลานี้คือ “สื่อของรัฐ” ตลอดสัปดาห์ทอง สถานีโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน (CCTV) และสำนักข่าวซินหัว (Xinhua) จะประโคมข่าวและนำเสนอรายการพิเศษเกี่ยวกับความสำเร็จของชาติอย่างเข้มข้น มีการถ่ายทอดสดพิธีการต่างๆ ทั่วประเทศ ผลิตสารคดีประวัติศาสตร์ ละคร และบทเพลงที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษเพื่อสร้างบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง สื่อเหล่านี้ทำงานอย่างเป็นระบบเพื่อตอกย้ำ “เรื่องเล่าหลักของชาติ” (National Master Narrative) ทำให้การเฉลิมฉลองไม่ใช่แค่ “อีเวนต์” แต่เป็นแคมเปญสื่อสารขนาดใหญ่ที่กินเวลาตลอดสัปดาห์

การเฉลิมฉลองทั้งหมดจึงไม่ใช่เพียงการรำลึกถึงการก่อตั้งประเทศ แต่เป็นการ “ยกย่องความสำเร็จ” ภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ตั้งแต่การปฏิรูปเศรษฐกิจจนถึงการผงาดขึ้นเป็นมหาอำนาจของโลก การใช้สัญลักษณ์ต่างๆ เช่น ธงชาติ เพลงชาติ และภาพของผู้นำอย่างเหมา เจ๋อตง อย่างแพร่หลาย ล้วนเป็นไปเพื่อเสริมสร้างอัตลักษณ์ร่วมและความสามัคคีของคนในชาติ นอกจากนี้ วันชาติยังถูกใช้เป็นเวทีสำคัญสำหรับผู้นำในการประกาศนโยบายหรือตอกย้ำจุดยืนทางการเมืองต่อประชาคมโลก เช่น การกล่าวถึงประเด็นไต้หวัน หรือการเชื่อมโยงการเฉลิมฉลองเข้ากับการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ที่กำลังจะมาถึง

ในภาพรวม วันชาติจีนทำหน้าที่เสมือน “พิธีกรรมทางการเมืองร่วมสมัย” ที่สร้างและตอกย้ำ “เรื่องเล่าหลักของชาติ” ว่าด้วย “การฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ของชนชาติจีน” ทุกองค์ประกอบของการเฉลิมฉลอง ตั้งแต่ประวัติศาสตร์การต่อสู้ การแสดงแสนยานุภาพทางทหาร ไปจนถึงความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ ล้วนถูกร้อยเรียงเข้าด้วยกันเพื่อสนับสนุนเรื่องเล่านี้ พิธีกรรมต่างๆ จึงไม่ใช่แค่การเฉลิมฉลอง แต่เป็นการแสดงซ้ำๆ เพื่อยืนยันความชอบธรรมของพรรคคอมมิวนิสต์ในการนำพาชาติไปสู่ความรุ่งโรจน์ และการให้ความสำคัญกับการศึกษาในโรงเรียน ก็เพื่อรับประกันว่าเรื่องเล่านี้จะถูกส่งต่อไปยังคนรุ่นใหม่อย่างไม่ขาดตอน

เสียงสะท้อนจากทั่วโลก การเฉลิมฉลองนอกแผ่นดินใหญ่

ความสำคัญของวันชาติจีนไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในแผ่นดินใหญ่ แต่ยังส่งแรงกระเพื่อมและสร้างภาพสะท้อนที่แตกต่างกันไปทั่วโลก

ฮ่องกงและมาเก๊า หนึ่งชาติ สองเรื่องเล่า

ในฐานะเขตบริหารพิเศษ ทั้งฮ่องกงและมาเก๊ามีการจัดงานเฉลิมฉลองวันชาติอย่างเป็นทางการ เช่น พิธีเชิญธงที่จัตุรัสโกลเด้นโบฮิเนียในฮ่องกง และการแสดงพลุดอกไม้ไฟอันตระการตาเหนืออ่าววิคตอเรีย ส่วนที่มาเก๊าจะเน้นกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว เช่น การเปิดให้เข้าชมพิพิธภัณฑ์กรังด์ปรีซ์ฟรี ซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาล

อย่างไรก็ตาม บรรยากาศในสองเขตปกครองนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในฮ่องกง วันชาติได้กลายเป็นจุดปะทะทางความคิดและการเมืองที่ชัดเจน โดยเฉพาะหลังการประท้วงครั้งใหญ่ในปี 2019 ควบคู่ไปกับงานฉลองของรัฐบาล กลุ่มผู้เรียกร้องประชาธิปไตยมักจะจัดกิจกรรมประท้วง โดยมองว่าวันนี้คือ “วันไว้อาลัยแห่งชาติ”  ซึ่งนำไปสู่การเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ตำรวจและการจับกุมผู้คนจำนวนมาก ในทางตรงกันข้าม บรรยากาศในมาเก๊ากลับเน้นไปที่การเฉลิมฉลองและการท่องเที่ยวเป็นหลัก โดยแทบไม่ปรากฏการประท้วงทางการเมืองในลักษณะเดียวกับฮ่องกง

 

ไต้หวัน วันชาติที่แตกต่างและประวัติศาสตร์คนละมุมมอง

ในอีกฟากของช่องแคบไต้หวัน วันที่ 1 ตุลาคม ไม่ใช่วันแห่งการเฉลิมฉลอง แต่เป็นภาพสะท้อนของประวัติศาสตร์ที่เจ็บปวด สำหรับสาธารณรัฐจีน (Republic of China) หรือไต้หวัน วันนี้คือวันที่ระลึกถึงการพ่ายแพ้ในสงครามกลางเมืองและการ “ล่มสลายของแผ่นดินใหญ่” ที่ทำให้รัฐบาลพรรคก๊กมินตั๋งต้องลี้ภัยมายังเกาะไต้หวัน

ไต้หวันเฉลิมฉลองวันชาติของตนเองในวันที่ 10 ตุลาคม หรือที่เรียกว่า “วันดับเบิ้ลเท็น” (Double Ten Day) เพื่อรำลึกถึงการลุกฮือที่อู่ชางในปี 1911 ซึ่งนำไปสู่การโค่นล้มราชวงศ์ชิงและสถาปนาสาธารณรัฐจีนขึ้นเป็นแห่งแรกในเอเชีย ดังนั้น การมีอยู่ของวันชาติสองวันจึงเป็นสัญลักษณ์ของความขัดแย้งทางการเมืองที่ยังคงดำรงอยู่ และเป็นการตอกย้ำว่า “ประวัติศาสตร์จีน” ถูกตีความและเล่าจากมุมมองที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยฝ่ายหนึ่งมองว่าเป็นวันแห่งการปลดแอกและการก่อตั้งชาติใหม่ ในขณะที่อีกฝ่ายมองว่าเป็นวันแห่งการสูญเสียมาตุภูมิ

ชาวจีนโพ้นทะเลและสถานทูต สายใยที่เชื่อมโยงกับแผ่นดินแม่

นอกแผ่นดินใหญ่ สถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลจีนทั่วโลกจะจัดงานเลี้ยงรับรองอย่างเป็นทางการ โดยเชิญบุคคลสำคัญจากแวดวงต่างๆ ของประเทศนั้นๆ มาร่วมงานเพื่อกระชับความสัมพันธ์และนำเสนอภาพความสำเร็จของจีน ขณะเดียวกัน ชุมชนชาวจีนโพ้นทะเล ในหลายประเทศก็จัดกิจกรรมเฉลิมฉลองของตนเอง เช่น ขบวนพาเหรดในไชน่าทาวน์ที่เมืองโยโกฮามา ประเทศญี่ปุ่น หรือกิจกรรมทางวัฒนธรรมในประเทศไทย เพื่อรักษาอัตลักษณ์ สร้างความสามัคคีในชุมชน และแสดงความผูกพันกับมาตุภูมิ

กระนั้น ก็จำเป็นต้องเข้าใจว่าไม่ใช่ชาวจีนโพ้นทะเลทุกคนที่ร่วมเฉลิมฉลอง โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่เติบโตและหลอมรวมเข้ากับสังคมตะวันตก หรือผู้ที่มีความเห็นต่างทางการเมืองกับพรรคคอมมิวนิสต์ อาจจะไม่ได้รู้สึกผูกพันหรือให้ความสำคัญกับวันนี้

การเฉลิมฉลองวันชาติจีนนอกแผ่นดินใหญ่จึงทำหน้าที่เสมือน “บารอมิเตอร์” ที่ช่วยวัดอุณหภูมิทางการเมืองและความซับซ้อนของ “อัตลักษณ์จีน” ในยุคโลกาภิวัตน์ การปะทะกันในฮ่องกงสะท้อนถึงการต่อสู้ทางความคิดว่า “ความเป็นจีน” ควรนิยามอย่างไร ความสงบในมาเก๊าสะท้อนถึงโมเดลการบูรณาการทางเศรษฐกิจที่แตกต่างออกไป และปฏิกิริยาที่หลากหลายของชาวจีนโพ้นทะเลก็แสดงให้เห็นว่า “ความเป็นจีน” นั้นไม่ใช่สิ่งที่เป็นหนึ่งเดียว แต่มีหลายเฉดสี ตั้งแต่สายใยทางการเมือง วัฒนธรรม ไปจนถึงเป็นเพียงมรดกทางบรรพบุรุษ

 

วันชาติจีนในมุมมองของคนรุ่นใหม่

วันชาติจีนในวันที่ 1 ตุลาคม ไม่ใช่เป็นเพียงวันหยุดราชการธรรมดา แต่เป็นปรากฏการณ์ทางสังคมวัฒนธรรมที่ซับซ้อน ซึ่งหลอมรวมประวัติศาสตร์ การเมือง เศรษฐกิจ และอุดมการณ์ชาติเข้าไว้ด้วยกันอย่างเข้มข้น จากวันแห่งการปฏิวัติในยุคของเหมา เจ๋อตง ได้แปรเปลี่ยนมาสู่ยุคแห่งการแสดงแสนยานุภาพทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีในปัจจุบัน ซึ่งสะท้อนการเดินทางอันยาวไกลของจีนตลอดระยะเวลากว่าเจ็ดทศวรรษ

สำหรับคนไทยรุ่นใหม่และผู้ที่สนใจในวัฒนธรรมจีน การทำความเข้าใจวันชาติจีนจึงเป็นเสมือนการเปิดหน้าต่างบานใหญ่เพื่อมองเข้าไปยังประเทศมหาอำนาจแห่งนี้ ทำให้เห็นว่ารัฐชาติสมัยใหม่สามารถใช้ประเพณี สัญลักษณ์ และพิธีกรรม เพื่อสร้างชาติ เสริมสร้างอำนาจ และฉายภาพลักษณ์ของตนบนเวทีโลกได้อย่างไร คำถามที่น่าสนใจต่อไปคือ วันชาติจีนจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรในอนาคต ท่ามกลางความท้าทายใหม่ๆ ทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ และคนรุ่นใหม่ของจีนเองจะให้ความหมายกับวันนี้แตกต่างไปจากคนรุ่นก่อนหรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องจับตาดูกันต่อไป

 

คำศัพท์และวลีที่ควรรู้

เพื่อให้เข้าใจบริบทของวันชาติจีนได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น การทำความรู้จักกับคำศัพท์และวลีที่เกี่ยวข้องเป็นสิ่งสำคัญ

ตัวอักษรจีนพินอินคำอ่านภาษาไทยคำแปล
国庆节Guóqìngjiéกั๋วชิ่งเจี๋ยวันชาติจีน (แปลตรงตัว: เทศกาลฉลองชาติ)
中华人民共和国Zhōnghuá Rénmín Gònghéguóจงหัว เหรินหมิน ก้งเหอกั๋วสาธารณรัฐประชาชนจีน
中国共产党Zhōngguó Gòngchǎndǎngจงกั๋ว ก้งฉ่านต่างพรรคคอมมิวนิสต์จีน
天安门Tiān’ānménเทียนอันเหมินประตูสันติภาพสวรรค์ (ที่ตั้งของจัตุรัสเทียนอันเหมิน)
黄金周Huángjīnzhōuหวงจินโจวสัปดาห์ทอง (ช่วงวันหยุดยาว 7 วัน)
阅兵Yuèbīngเยว่ปิงการสวนสนาม (ทางทหาร)
升旗仪式Shēngqí yíshìเซิงฉี อี๋ซื่อพิธีเชิญธงขึ้นสู่ยอดเสา
文艺晚会wényì wǎnhuìเหวินอี้ หว่านฮุ่ยงานกาลาภาคค่ำ
双十节Shuāngshíjiéซวงสือเจี๋ยวันดับเบิ้ลเท็น (วันชาติไต้หวัน)
十月一日Shí yuè yī rìสือเยว่ อี รื่อวันที่ 1 เดือนตุลาคม
红色hóngsèหงเซ่อสีแดง (สีมงคลและสีของธงชาติ)
烟花yānhuāเยียนฮวาดอกไม้ไฟ, พลุ
爱国主义àiguó zhǔyìอ้ายกั๋ว จู่อี้ลัทธิรักชาติ, ความรักชาติ
放假fàngjiàฟ่างเจี้ยวันหยุด, การหยุดงาน
出去玩chūqu wánชู ชวี่ หวานออกไปเที่ยว
国家繁荣guójiā fánróngกั๋วเจีย ฝานหรงประเทศชาติรุ่งเรือง
万事如意wànshì rúyìว่านซื่อหรูอี้สมหวังทุกประการ
心想事成xīnxiǎng shìchéngซินเสี่ยงซื่อเฉิงคิดสิ่งใดสมปรารถนา
祝你国庆节快乐zhù nǐ Guóqìngjié kuàilèจู้ หนี่ กั๋วชิ่งเจี๋ย ไคว่เล่อสุขสันต์วันชาติจีน
祖国万岁zǔguó wànsuìจู่กั๋ว ว่านซุ่ยมาตุภูมิจงเจริญ

You may also like