สวัสดีครับเพื่อนๆ นักเดินทางทุกคน!
ใครที่ติดตามเพจ Tenttulip อยู่เรื่อยๆ คงจะจำกันได้ว่าผมเพิ่งกลับมาจากทริปนานกิง เมืองหลวงเก่าที่เต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อันเข้มข้น แต่เรื่องเล่าจากทริปนั้นยังไม่จบครับ เพราะผมมีจุดหมายปลายทางอีกแห่งที่ตั้งใจปักหมุดไว้… เมืองที่ได้รับสมญานามว่าเป็น “สวรรค์บนดิน” เคียงคู่กับหางโจว เมืองที่นักเดินทางระดับตำนานอย่างมาร์โค โปโล ถึงกับเอ่ยปากยกย่องให้เป็น “เวนิสแห่งตะวันออก” เมื่อเขามาเยือนในปี 1276 ใช่แล้วครับ… ผมกำลังพูดถึง ซูโจว (Suzhou | 苏州)
สำหรับเพื่อนๆ ที่เคยไปลุยเมืองใหญ่ระดับ A-List ของจีนอย่างปักกิ่งหรือเซี่ยงไฮ้มาแล้ว และกำลังมองหาเมืองจีนในสเต็ปต่อไปที่ลึกซึ้งกว่าเดิม มีเรื่องราว มีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ แต่ยังคงเดินทางสะดวกสบาย ผมบอกได้คำเดียวเลยว่า “ซูโจว” คือคำตอบที่คุณกำลังตามหาครับ ที่นี่คือเมืองที่ประวัติศาสตร์ไม่ได้ถูกแช่แข็งไว้ในพิพิธภัณฑ์ แต่ยังคงไหลเวียนมีชีวิตชีวาไปตามลำคลองโบราณนับร้อยสาย เป็นเมืองที่สวนจีนโบราณไม่ใช่แค่สวนสาธารณะ แต่คือหอศิลป์ที่มีชีวิตซึ่งได้รับการยกย่องเป็นมรดกโลกโดย UNESCO และเป็นเมืองที่จังหวะชีวิตดูเหมือนจะเคลื่อนไปตามความเนิบช้าของเรือพายที่ลอดผ่านใต้สะพานหินโค้งอายุนับร้อยปี
ถ้าคุณพร้อมแล้ว ก็เก็บกระเป๋าแล้วออกเดินทางไปกับผมเลยครับ เราจะไปไขความลับของไข่มุกเม็ดงามแห่งเจียงหนานเม็ดนี้ด้วยกัน!
จากเซี่ยงไฮ้สู่ซูโจวใน 30 นาที การเดินทางสู่เมืองสวรรค์บนดิน
หนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้ซูโจวเป็นเมืองรองที่น่าเที่ยวสุดๆ คือการเดินทางที่สะดวกสบายจนน่าตกใจครับ หลายคนอาจจะนึกภาพว่าการไปเมืองโบราณแบบนี้ต้องเดินทางลำบาก แต่ความจริงคือตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
ความมหัศจรรย์ของซูโจวเริ่มต้นตั้งแต่การเดินทางจากเซี่ยงไฮ้เลยครับ ด้วยรถไฟความเร็วสูงหรือที่คนจีนเรียกว่า “เกาเถี่ย” (高铁) เราสามารถวาร์ปจากใจกลางมหานครที่พลุกพล่านที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มาสู่เมืองแห่งสายน้ำและสวนสวยแห่งนี้ได้ในเวลาเพียงประมาณ 25-30 นาทีเท่านั้น! ใช่ครับ คุณอ่านไม่ผิด แค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นเอง รถไฟมีให้บริการถี่ยิ่งกว่ารถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ เสียอีก โดยมีรถไฟวิ่งระหว่างสองเมืองนี้มากกว่า 200 เที่ยวต่อวัน เฉลี่ยแล้วมีรถออกทุกๆ 5 นาที ตั้งแต่เช้ามืดจนถึงดึก
ความสะดวกสบายนี้เองคือหัวใจสำคัญที่ทำให้ซูโจวพิเศษกว่าเมืองโบราณอื่นๆ มันคือการอยู่ร่วมกันอย่างน่าทึ่งระหว่างความเก่าแก่ที่สืบทอดมานับพันปีกับความทันสมัยของจีนยุคใหม่ คุณลองนึกภาพตามนะครับว่า เราสามารถจิบกาแฟกินอาหารเช้าเก๋ๆ ที่ย่าน The Bund ในเซี่ยงไฮ้ แล้วกระโดดขึ้นรถไฟความเร็วสูงเพื่อมาเดินเล่นชมความงามในสวนจีนอายุกว่า 500 ปีที่ซูโจวได้ก่อนมื้อเที่ยงเสียอีก นี่คือเสน่ห์ที่หาจากที่ไหนไม่ได้จริงๆ มันทำให้ซูโจวเป็น “อัญมณีที่ซ่อนอยู่” ซึ่งซ่อนตัวอยู่ข้างๆ มหานครระดับโลกนี่เอง
เคล็ดลับการเลือกสถานีรถไฟ:
- จากเซี่ยงไฮ้: คุณมี 2 ตัวเลือกหลักๆ คือ
- Shanghai Railway Station (上海站): สถานีนี้จะอยู่ในเมืองมากกว่า เหมาะสำหรับคนที่พักอยู่แถวใจกลางเมืองอย่าง The Bund หรือถนนนานจิง (Nanjing Road)
- Shanghai Hongqiao Railway Station (上海虹桥站): เป็นสถานีที่ใหญ่และใหม่กว่า เชื่อมต่อโดยตรงกับสนามบินหงเฉียว และมีจำนวนรถไฟความเร็วสูงไปซูโจวเยอะที่สุด ถ้าคุณเดินทางมาจากสนามบินแล้วจะตรงไปซูโจวเลย หรือพักอยู่ฝั่งตะวันตกของเซี่ยงไฮ้ สถานีนี้คือคำตอบครับ
- ถึงซูโจว: แนะนำให้เลือกจุดหมายปลายทางเป็น Suzhou Railway Station (苏州站) ครับ เพราะสถานีนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเก่าเลย เมื่อมาถึงคุณสามารถเชื่อมต่อรถไฟใต้ดินซูโจว (Suzhou Metro) เพื่อเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวสำคัญต่างๆ ได้ทันที สะดวกมากๆ
เมื่อมาถึงซูโจวแล้ว การเดินทางภายในเมืองก็ง่ายดายด้วยรถไฟใต้ดินที่มีเครือข่ายครอบคลุมสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ เกือบทั้งหมด คุณสามารถซื้อตั๋วเที่ยวเดียวจากตู้จำหน่ายอัตโนมัติ หรือจะใช้แอปพลิเคชันบนมือถืออย่าง “Su E Xing” (苏e行) เพื่อสแกน QR Code เข้า-ออกสถานีก็ได้ สะดวกและทันสมัยสุดๆ ครับ
สวนโบราณแห่งซูโจว
ถ้าจะพูดถึงซูโจวแล้วไม่พูดถึง “สวนโบราณ” ก็เหมือนมาไม่ถึงครับ สวนของที่นี่ไม่ใช่แค่สวนสาธารณะธรรมดาๆ แต่มันคือสุดยอดแห่งศิลปะการจัดสวนของจีนที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก จนสวนหลายแห่งถูกขึ้นทะเบียนรวมกันเป็นมรดกโลกโดย UNESCO ในชื่อ “Classical Gardens of Suzhou”
การจองตั๋วเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยว
ปัจจุบัน สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมส่วนใหญ่ในจีน รวมถึงสวนโบราณและพิพิธภัณฑ์ในซูโจว จำเป็นต้องจองตั๋วล่วงหน้าผ่านช่องทางออนไลน์เท่านั้น โดยใช้หนังสือเดินทาง (Passport) นักท่องเที่ยวไม่สามารถไปซื้อตั๋วที่หน้างานได้เหมือนเมื่อก่อนแล้วนะครับ แอปพลิเคชันที่จำเป็นต้องมีติดเครื่องไว้คือ WeChat หรือ Alipay ซึ่งจะมี “Mini Program” ของสถานที่ต่างๆ ให้เข้าไปจองตั๋วได้โดยตรง การวางแผนและจองล่วงหน้าไปก่อนจึงสำคัญมากๆ ครับ!
ถ้ามีเวลาแค่ 1 วัน ควรไปสวนไหนดี?
หากเพื่อนๆ มีเวลาจำกัดและต้องเลือกชมสวนเพียงแห่งเดียว ผมมีข้อแนะนำง่ายๆ ครับ:
- เลือกสวนจัวเจิ้ง (Humble Administrator’s Garden): ถ้าคุณอยากสัมผัสความยิ่งใหญ่ อลังการ และความเป็น “ที่สุด” ของสวนซูโจว ที่นี่คือสวนที่ใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุด
- เลือกสวนหลิว (Lingering Garden): ถ้าคุณชื่นชอบความแยบยลในการออกแบบพื้นที่และมุมมองที่ไม่เหมือนใคร ที่นี่โดดเด่นเรื่องทางเดินในร่มที่สร้างประสบการณ์ “เปลี่ยนทิวทัศน์ในทุกฝีก้าว” ได้อย่างน่าทึ่ง
และนี่คือ 3 สวนระดับมาสเตอร์พีซที่ผมอยากให้ทุกคนได้ไปสัมผัสด้วยตัวเองครับ
สวนจัวเจิ้ง (Humble Administrator’s Garden | 拙政园) – ความยิ่งใหญ่ในความสมถะ
เริ่มต้นกันที่สวนที่ใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดในซูโจว สวนจัวเจิ้ง หรือ “สวนของผู้ปกครองที่ถ่อมตน” แค่ชื่อก็บอกเล่าเรื่องราวได้มากมายแล้วครับ สวนแห่งนี้สร้างขึ้นในปี 1509 ในสมัยราชวงศ์หมิงโดยขุนนางเกษียณอายุชื่อ หวังเซี่ยนเฉิง (Wang Xiancheng) ผู้ผิดหวังกับเส้นทางอาชีพราชการของเขา เขาจึงกลับมาบ้านเกิดและสร้างสวนแห่งนี้ขึ้นเพื่อใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างเรียบง่าย สมถะ กลับคืนสู่ธรรมชาติ ทำสวนปลูกผัก เหมือนชาวบ้านธรรมดาๆ คนหนึ่ง
แม้ชื่อจะถ่อมตน แต่ขนาดของสวนนั้นยิ่งใหญ่ตระการตามากครับ ด้วยพื้นที่เกือบ 52,000 ตารางเมตร สวนจัวเจิ้งถือเป็นสวนที่ใหญ่ที่สุดในซูโจว องค์ประกอบหลักของสวนคือน้ำ ซึ่งกินพื้นที่ไปกว่าครึ่งหนึ่งของสวนทั้งหมด ทำให้บรรยากาศโดยรวมดูโปร่งสบายและสดชื่น สวนแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลักๆ คือ ส่วนตะวันออก ส่วนกลาง และส่วนตะวันตก โดยส่วนกลางถือเป็นหัวใจหลักและเป็นภาพจำของสวนแห่งนี้ ด้วยสระน้ำขนาดใหญ่ที่มีเกาะแก่งน้อยใหญ่เชื่อมต่อกันด้วยสะพานโค้งอันอ่อนช้อย รายล้อมไปด้วยศาลาริมน้ำและเรือนต่างๆ ที่ออกแบบอย่างงดงามตามแบบฉบับศิลปะสมัยราชวงศ์หมิง
ข้อมูลสำคัญ
- เวลาทำการ: 07:30 – 17:30 น. (ช่วงเดือนมีนาคม-ตุลาคม, เข้ารอบสุดท้าย 17:00 น.) และ 07:30 – 17:00 น. (ช่วงเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์, เข้ารอบสุดท้าย 16:30 น. โดยประมาณ)
- ค่าเข้าชม: ประมาณ 80 RMB (ช่วง High Season) / 70 RMB (ช่วง Low Season)
- Tip: ที่นี่เป็นที่นิยมอย่างยิ่ง แนะนำให้จองตั๋วล่วงหน้าผ่าน Mini Program บน WeChat หรือ Alipay ก่อนเดินทาง โดยเฉพาะช่วงวันหยุดยาวของจีน เพราะตั๋วอาจเต็มได้ครับ
สวนหลิว (Lingering Garden | 留园) – ศิลปะแห่งทางเดินและมุมมอง
ถ้าสวนจัวเจิ้งคือความยิ่งใหญ่ สวนหลิวก็คือความอัจฉริยะในการออกแบบพื้นที่และมุมมองครับ สวนแห่งนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสี่สวนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจีนเช่นกัน และจุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ที่สุดซึ่งไม่มีที่ไหนเหมือนก็คือ ทางเดินในร่ม ที่มีความยาวกว่า 700 เมตร คดเคี้ยวเชื่อมต่ออาคารและส่วนต่างๆ ของสวนเข้าไว้ด้วยกัน
ทางเดินนี้ไม่ใช่แค่ทางเดินธรรมดาๆ ครับ แต่มันคือเครื่องมือสำคัญที่สถาปนิกใช้ในการ “กำกับ” ประสบการณ์ของผู้มาเยือน หน้าต่างและช่องเปิดตามทางเดินถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน มันทำหน้าที่เหมือน “กรอบรูปที่มีชีวิต” ที่จะค่อยๆ เผยให้เห็นทิวทัศน์ที่งดงามแตกต่างกันไปในแต่ละย่างก้าว ทำให้เกิดความรู้สึกที่เรียกว่า “เปลี่ยนทิวทัศน์ในทุกฝีก้าว” (步移景异) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการออกแบบสวนจีน การเดินในสวนหลิวจึงเหมือนกับการชมภาพยนตร์ที่ค่อยๆ เปิดฉากใหม่ๆ ให้เราได้ตื่นตาตื่นใจอยู่ตลอดเวลา
สวนหลิวแบ่งออกเป็น 4 ส่วนที่มีลักษณะแตกต่างกันอย่างชัดเจน คือ ส่วนกลาง ตะวันออก ตะวันตก และเหนือ ทำให้การมาเยือนที่นี่เหมือนได้เที่ยวสวนถึง 4 แบบในที่เดียว ตั้งแต่ส่วนกลางที่เป็นสถาปัตยกรรมหลักอันงดงามรอบสระน้ำ ไปจนถึงส่วนตะวันตกที่เป็นเนินเขาสูงและมีความเป็นธรรมชาติมากกว่า อย่าลืมแวะชมไฮไลท์อย่าง “หินยอดเมฆา” (Cloud-Capped Peak) ซึ่งเป็นหินไท่หู (Taihu Rock) ที่มีชื่อเสียงที่สุดก้อนหนึ่งในสวน
ข้อมูลสำคัญ
- เวลาทำการ: 07:30 – 17:30 น. (เข้ารอบสุดท้าย 17:00 น.)
- ค่าเข้าชม: ประมาณ 55 RMB (ช่วง High Season เม.ย.-ต.ค.) / 45 RMB (ช่วง Low Season พ.ย.-มี.ค.)
- Tip: แม้จะไม่หนาแน่นเท่าสวนจัวเจิ้ง แต่ก็ควรจองตั๋วล่วงหน้าผ่านช่องทางออนไลน์เพื่อความแน่นอนครับ
สวนหวังซือ (Master of the Nets Garden | 网师园) – อัญมณีในยามค่ำคืน
มาถึงสวนสุดท้ายที่ผมขอยกให้เป็น The Must ของทริปซูโจวเลยครับ! สวนหวังซือ หรือ “สวนของปรมาจารย์แห่งตาข่าย” เป็นสวนที่มีขนาดเล็กที่สุดในบรรดาสวนชื่อดังทั้งหมด แต่กลับได้รับการยกย่องว่ามีการออกแบบที่สมบูรณ์แบบและงดงามราวกับอัญมณีเม็ดเอก ชื่อสวนได้แรงบันดาลใจมาจากชีวิตอันเรียบง่ายของชาวประมง สะท้อนความปรารถนาที่จะหลีกหนีจากความวุ่นวายในสังคม
แม้ตอนกลางวันสวนนี้จะสวยงามน่ารักด้วยการจัดวางพื้นที่อย่างชาญฉลาดที่ทำให้สวนเล็กๆ ดูกว้างขวาง แต่ไฮไลท์ที่แท้จริงของสวนหวังซือจะปรากฏขึ้นในยามค่ำคืนครับ ที่นี่เป็นสวนเพียงแห่งเดียวในซูโจวที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมตอนกลางคืน พร้อมกับการแสดงวัฒนธรรมแบบดั้งเดิม
กลางวันว่าสวยแล้ว กลางคืนสวนนี้เหมือนกลายเป็นอีกโลกหนึ่งเลยครับ แสงไฟจากโคมไฟสีแดงและสีเหลืองนวลส่องกระทบผิวน้ำและเงาของศาลาโบราณ มันคือความโรแมนติกแบบจีนแท้ๆ ที่คุณจะไม่มีวันลืม บรรยากาศเงียบสงบ มีเพียงเสียงดนตรีคลอเบาๆ นักท่องเที่ยวจะได้เดินไปตามจุดต่างๆ ของสวน ซึ่งในแต่ละศาลาหรือเรือน จะมีการแสดงทางวัฒนธรรม 8 อย่างสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป ไม่ว่าจะเป็น:
- อุปรากรคุนฉวี่ (Kunqu Opera | 昆曲): อุปรากรที่เก่าแก่ที่สุดของจีน มีต้นกำเนิดที่ซูโจว
- ผิงถาน (Pingtan | 评弹): การเล่านิทานประกอบการดีดพิณผีผาในสำเนียงซูโจว
- การบรรเลงกู่เจิง (Guzheng | 古筝): พิณแนวนอนของจีนที่มีเสียงไพเราะกังวาน
- การบรรเลงขลุ่ยไม้ไผ่ (Di and Xiao | 笛/箫) และการแสดงอื่นๆ อีกมากมาย
การได้นั่งชมการแสดงสดๆ ในบรรยากาศของสวนโบราณที่สว่างไสวด้วยแสงโคมไฟ มันคือการดื่มด่ำวัฒนธรรมเจียงหนานอย่างแท้จริง เป็นประสบการณ์ที่ผมประทับใจที่สุดในทริปนี้เลยครับ
ข้อมูลสำคัญ (Practical Info)
- เวลาทำการ:
- รอบกลางวัน: 07:30 – 17:30 น.
- รอบกลางคืน (พร้อมการแสดง): 19:30 – 22:00 น. (โดยประมาณ, จัดแสดงช่วงกลางเดือนมีนาคม – กลางเดือนพฤศจิกายน)
- ค่าเข้าชม:
- รอบกลางวัน: ประมาณ 40 RMB (High Season) / 30 RMB (Low Season)
- รอบกลางคืน: ประมาณ 100 RMB
- Tip: ตั๋วสำหรับชมรอบกลางคืนเป็นตั๋วแยกต่างหากและต้องจองล่วงหน้าเช่นกัน เพราะเป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมสูงมากครับ
ถนนสายน้ำและกาลเวลา สัมผัสจิตวิญญาณชาวซูโจว
นอกเหนือจากสวนโบราณแล้ว สิ่งที่บ่งบอกถึงจิตวิญญาณของซูโจวได้ดีที่สุดก็คือถนนโบราณที่ทอดตัวขนานไปกับลำคลอง ซึ่งมีอยู่หลายสาย แต่สองสายที่โดดเด่นและเป็นที่นิยมที่สุดก็คือ ถนนผิงเจียง และ ถนนซานถัง ทั้งสองแห่งมีเสน่ห์ที่แตกต่างกัน แต่ก็เติมเต็มประสบการณ์การมาเยือนซูโจวให้สมบูรณ์
ถนนผิงเจียง (Pingjiang Road | 平江路) – เดินเล่นในประวัติศาสตร์มีชีวิต
ถ้าคุณอยากเห็นซูโจวในแบบที่ “สมจริง” และ “มีชีวิตชีวา” ที่สุด ต้องมาที่ถนนผิงเจียงครับ ถนนหินสายแคบๆ ที่มีความยาวเกือบ 2 กิโลเมตรนี้ เป็นย่านประวัติศาสตร์ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่สุดแห่งหนึ่งของเมือง มีประวัติยาวนานกว่า 800 ปี และยังคงรักษารูปแบบผังเมืองดั้งเดิมของ “ถนนขนานกับลำคลอง” ไว้อย่างสมบูรณ์
บรรยากาศของถนนผิงเจียงในตอนกลางวันนั้นเต็มไปด้วยเสน่ห์ของวิถีชีวิตชาวบ้าน สองฟากฝั่งเต็มไปด้วยบ้านเรือนกำแพงขาวหลังคาสีเทาแบบดั้งเดิมที่ยังมีคนอาศัยอยู่จริง สลับกับร้านค้าเล็กๆ น่ารัก โรงน้ำชา ร้านอาหารท้องถิ่น และเกสต์เฮาส์เก๋ๆ กิจกรรมที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาที่นี่คือ:
- ล่องเรือพายโบราณ: สัมผัสซูโจวจากมุมมองที่คลาสสิกที่สุด เรือไม้ลำน้อยจะพาคุณล่องไปตามลำคลองสายแคบๆ ลอดใต้สะพานหินโค้งโบราณ ชมบ้านเรือนริมน้ำอย่างใกล้ชิด
- จิบชาฟังผิงถาน: แวะเข้าร้านน้ำชาสักแห่ง สั่งชามะลิหอมๆ มาจิบ แล้วปล่อยใจไปกับเสียงดนตรีและการเล่านิทานแบบผิงถาน เป็นการพักผ่อนที่ได้อารมณ์แบบจีนโบราณสุดๆ
- สำรวจตรอกซอกซอย: อย่าเดินแค่บนถนนเส้นหลักนะครับ ลองเลี้ยวเข้าตรอกเล็กๆ ที่แยกออกไป คุณจะพบกับมุมสงบๆ และภาพชีวิตที่แท้จริงของชาวซูโจว
- ชิมของอร่อย: ตลอดเส้นทางมีร้านขายของว่างและขนมท้องถิ่นมากมาย โดยเฉพาะขนมดอกหอมหมื่นลี้ (Osmanthus Cake) ที่มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์
ถนนผิงเจียงคือภาพ “สารคดี” ของซูโจว ที่ทำให้เราได้เห็นว่าประวัติศาสตร์และปัจจุบันสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน
ข้อมูลสำคัญ
- เวลาทำการ: เปิด 24 ชั่วโมง แต่ร้านค้าและร้านอาหารส่วนใหญ่จะปิดให้บริการประมาณ 22:00 น.
- ค่าเข้าชม: เข้าชมฟรี
ถนนซานถัง (Shantang Street | 山塘街) – “ซูโจวย่อส่วน” ในม่านราตรี
ถ้าถนนผิงเจียงคือ “สารคดี” ถนนซานถังก็คือ “ภาพยนตร์” ครับ ที่นี่คือภาพซูโจวในจินตนาการที่ถูกทำให้เป็นจริง ถนนสายประวัติศาสตร์แห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ถังโดยกวีและขุนนางชื่อดังอย่าง ไป๋จวีอี้ (Bai Juyi) และได้รับการขนานนามว่าเป็น “ซูโจวย่อส่วน” เพราะมันรวบรวมแก่นแท้ของวัฒนธรรมเจียงหนานไว้ในที่เดียว
แม้ตอนกลางวันจะสวยงาม แต่เวลาที่ดีที่สุดในการมาเยือนถนนซานถังคือช่วงพลบค่ำเป็นต้นไปครับ พอฟ้าเริ่มมืด โคมไฟสีแดงสดนับร้อยดวงที่ประดับอยู่ตลอดสองฟากฝั่งคลองจะถูกจุดขึ้นพร้อมกัน ภาพที่เห็นคือแสงสีแดงระยิบระยับสะท้อนบนผิวน้ำ สร้างบรรยากาศที่โรแมนติกและงดงามราวกับหลุดเข้าไปในบทกวี เป็นภาพที่สวยจนลืมหายใจและเป็นสวรรค์ของคนชอบถ่ายรูปอย่างแท้จริง
ที่นี่จะมีความเป็นย่านการค้าที่คึกคักกว่าถนนผิงเจียง มีร้านค้า ร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึกขนาดใหญ่กว่า การล่องเรือชมวิวตอนกลางคืนเป็นกิจกรรมยอดนิยมที่ให้ความรู้สึกแตกต่างจากการล่องเรือตอนกลางวันอย่างสิ้นเชิง การได้นั่งอยู่บนเรือที่เคลื่อนไปช้าๆ ท่ามกลางแสงโคมไฟสีแดง มันคือประสบการณ์ที่ยากจะลืมเลือน
ข้อมูลสำคัญ (Practical Info)
- เวลาทำการ: เปิด 24 ชั่วโมง แต่จะสวยงามและคึกคักที่สุดตั้งแต่ช่วงพลบค่ำเป็นต้นไป
- ค่าเข้าชม: เข้าชมฟรี (มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับการล่องเรือ)
- คำแนะนำในการตัดสินใจ: ถ้าคุณมีเวลาสำหรับถนนสายน้ำแค่แห่งเดียวในตอนกลางคืน และอยากได้ภาพถ่ายที่งดงามราวกับภาพวาด ถนนซานถังคือคำตอบสุดท้ายครับ
มรดกแห่งศิลป์และวัฒนธรรมมากกว่าสวนและสายน้ำ
ซูโจวไม่ได้มีดีแค่สวนสวยและคลองงาม แต่ยังเป็นเมืองที่มีมรดกทางวัฒนธรรมและศิลปะที่ลึกซึ้ง การได้ไปเยือนสถานที่เหล่านี้จะทำให้เราเข้าใจตัวตนของซูโจวได้ดียิ่งขึ้น
พิพิธภัณฑ์ซูโจว (Suzhou Museum | 苏州博物馆) – สถาปัตยกรรมที่แสงและเงาเป็นผู้ออกแบบ
นี่คือพิพิธภัณฑ์ที่ตัวอาคารน่าสนใจไม่แพ้สิ่งที่จัดแสดงอยู่ข้างในเลยครับ พิพิธภัณฑ์ซูโจวได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกชาวจีน-อเมริกันระดับโลกอย่าง ไอ. เอ็ม. เพ (I. M. Pei) ผู้ซึ่งเติบโตในซูโจวและมีความผูกพันกับเมืองนี้อย่างลึกซึ้ง ผลงานชิ้นเอกอื่นๆ ของเขาก็เช่น พีระมิดแก้วหน้าพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ที่ปารีส
โจทย์ของเพคือการสร้างอาคารสมัยใหม่ที่จะไม่ทำลายทัศนียภาพของเมืองเก่า แต่ต้องกลมกลืนและให้เกียรติสถาปัตยกรรมดั้งเดิมของซูโจว และเขาก็ทำมันออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม เพได้นำเอา DNA ของสถาปัตยกรรมซูโจวมาตีความใหม่ในภาษาของสถาปัตยกรรมโมเดิร์น:
- กำแพงและหลังคา: เขายังคงใช้กำแพงสีขาวอันเป็นเอกลักษณ์ แต่เปลี่ยนจากกระเบื้องดินเผาสีดำแบบดั้งเดิม มาเป็นแผ่นหินแกรนิตสีเทาเข้มที่เรียกว่า “Chinese Black” ซึ่งจะเปลี่ยนเฉดสีเมื่อโดนฝน ทำให้ดูเรียบหรูและทันสมัย
- แสงและเงา: Pei ผู้ได้รับฉายาว่า “จอมขมังเวทย์แห่งแสง” ได้ทลายข้อจำกัดของสถาปัตยกรรมจีนโบราณที่มักจะมืดทึบ เขาแทนที่โครงสร้างไม้ทึบด้วยโครงสร้างเหล็กและกระจกในรูปทรงเรขาคณิต ทำให้แสงธรรมชาติสามารถสาดส่องเข้ามาภายในอาคารได้อย่างเต็มที่ เกิดเป็นลวดลายของแสงและเงาที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดทั้งวันตามการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ สมกับปรัชญาของเขาที่ว่า “ให้แสงเป็นผู้ออกแบบ”
- สวน: สวนของพิพิธภัณฑ์คือการตีความสวนจีนโบราณในรูปแบบมินิมอลลิสต์ เขาใช้ก้อนหินที่คัดเลือกมาอย่างดี จัดวางบนพื้นกรวดสีขาว โดยมีกำแพงสีขาวเป็นฉากหลัง เกิดเป็นภาพ “จิตรกรรมทิวทัศน์” ที่มีชีวิตและเรียบง่ายแต่ทรงพลัง
การเดินชมพิพิธภัณฑ์ซูโจวจึงเป็นมากกว่าการดูวัตถุโบราณ แต่มันคือการชื่นชมงานศิลปะทางสถาปัตยกรรมที่เชื่อมโยงอดีตและปัจจุบันเข้าไว้ด้วยกันอย่างชาญฉลาด
ข้อมูลสำคัญ
- เวลาทำการ: 09:00 – 17:00 น. (เข้ารอบสุดท้าย 16:00 น.), ปิดทำการทุกวันจันทร์ (ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์)
- ค่าเข้าชม: เข้าชมฟรี
- Tip สำคัญมาก: ถึงจะเข้าฟรี แต่ ต้องจองคิวล่วงหน้าเท่านั้น ผ่าน WeChat Mini Program หรือเว็บไซต์ทางการของพิพิธภัณฑ์ ที่นี่เป็นที่นิยมสูงมากและคิวมักจะเต็มเร็วสุดๆ (อาจต้องจองล่วงหน้าเป็นสัปดาห์) ดังนั้นต้องวางแผนจองทันทีที่กำหนดวันเดินทางได้เลยครับ!
วัดหานซาน (Hanshan Temple | 寒山寺) และบทกวีแห่งความเดียวดาย
วัดแห่งนี้อาจจะไม่ใช่วัดที่ใหญ่โตหรือเก่าแก่ที่สุด แต่กลับเป็นหนึ่งในวัดที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์จีน ด้วยเหตุผลเพียงข้อเดียว นั่นคือบทกวีเจ็ดตัวอักษรสี่บรรทัดบทหนึ่ง
เรื่องราวเกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์ถัง เมื่อกวีชื่อ จางจี้ (Zhang Ji | 張繼) ล่องเรือมาถึงซูโจวในคืนที่เหน็บหนาวและเต็มไปด้วยความเศร้า อาจจะเพราะผิดหวังจากการสอบเข้ารับราชการ เขานอนไม่หลับอยู่บนเรือที่จอดเทียบท่าอยู่ใกล้สะพานเมเปิล (Maple Bridge) ในความเงียบสงัดของยามเที่ยงคืน เขาก็ได้ยินเสียงระฆังดังแว่วมาจากวัดหานซานที่อยู่ไม่ไกล เสียงระฆังนั้นได้ปลอบประโลมความรู้สึกเปลี่ยวเหงาของเขา และกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เขาเขียนบทกวีอมตะ “ราตรีจอดเรือใกล้สะพานเมเปิล” (楓橋夜泊 | A Night Mooring Near Maple Bridge) ขึ้นมา
บทกวีบทนี้เองที่ทำให้วัดเล็กๆ แห่งนี้โด่งดังไปทั่วแผ่นดินจีนและเป็นที่รู้จักมานานกว่า 1,200 ปี:
月落烏啼霜滿天 (yuè luò wū tí shuāng mǎn tiān)
จันทราลาลับ เสียงกาครวญ เหมันต์โปรยปรายเต็มฟ้า
江楓漁火對愁眠 (jiāng fēng yú huǒ duì chóu mián)
ริมฝั่งเมเปิล โคมไฟชาวประมง ส่องสะท้อนความเศร้าไร้ที่นอน
姑蘇城外寒山寺 (gū sū chéng wài hán shān sì)
นอกกำแพงเมืองกูซู คือวัดหานซาน
夜半鐘聲到客船 (yè bàn zhōng shēng dào kè chuán)
เสียงระฆังยามเที่ยงคืน ดังมาถึงเรือของข้าผู้สัญจร
ระฆังใบเดิมในบทกวีได้สูญหายไปตามกาลเวลา แต่ระฆังใบปัจจุบันที่หล่อขึ้นใหม่ในปี 1904 ก็ยังคงทำหน้าที่สืบสานตำนานต่อไป โดยในคืนวันส่งท้ายปีเก่า จะมีการตีระฆัง 108 ครั้งเพื่ออธิษฐานขอพรให้ปีใหม่มีแต่ความสุขและความปลอดภัย ซึ่งเป็นประเพณีที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาเยือน
ข้อมูลสำคัญ
- เวลาทำการ: 07:30 – 17:00 น.
- ค่าเข้าชม: ประมาณ 20 RMB
- Tip: แม้จะไม่จำเป็นเท่าที่อื่น แต่การจองตั๋วล่วงหน้าก็ช่วยให้สะดวกขึ้นครับ
พิพิธภัณฑ์ผ้าไหมซูโจว (Suzhou Silk Museum | 苏州丝绸博物馆) – ตามรอยเส้นทางสายไหม
ซูโจวเป็นศูนย์กลางการผลิตผ้าไหมคุณภาพสูงของจีนมานานนับพันปี และการมาเยือนพิพิธภัณฑ์ผ้าไหมซูโจวก็เหมือนกับการได้ออกเดินทางย้อนรอยไปบนเส้นทางสายไหมอันยิ่งใหญ่
ที่นี่ไม่ใช่แค่พิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงผ้าโบราณในตู้กระจกเท่านั้นครับ แต่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต ไฮไลท์สำคัญที่ทำให้ที่นี่พิเศษกว่าที่อื่นคือการสาธิตกระบวนการผลิตผ้าไหมให้เห็นกันจะๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ:
- ห้องเลี้ยงหนอนไหม (Silkworm-Rearing Room): คุณจะได้เห็นหนอนไหมตัวเป็นๆ นับพันกำลังกัดกินใบหม่อนอย่างเอร็ดอร่อย เป็นภาพที่หาดูได้ยากและทำให้เราเข้าใจจุดเริ่มต้นของเส้นไหมได้อย่างแท้จริง
- โรงทอผ้า (Silk Weaving Workshop): ในส่วนนี้ จะมีช่างฝีมือในชุดโบราณมานั่งทอผ้าบนกี่ทอผ้าไม้ขนาดใหญ่แบบดั้งเดิมให้เราชมกันสดๆ ทำให้เราได้เห็นว่าผ้าไหมที่สวยงามนั้นต้องผ่านกระบวนการที่ละเอียดอ่อนและใช้ฝีมือมากเพียงใด
การได้เห็นกระบวนการทั้งหมดด้วยตาตัวเอง ตั้งแต่หนอนตัวเล็กๆ ไปจนถึงผ้าไหมผืนงาม มันทำให้เราเห็นคุณค่าของผ้าไหมซูโจวมากขึ้น และเข้าใจว่าทำไมมันถึงเป็นสินค้าล้ำค่าที่เดินทางไปไกลทั่วโลกบนเส้นทางสายไหมในอดีต
ข้อมูลสำคัญ (Practical Info)
- เวลาทำการ: 09:00 – 17:00 น. (เข้ารอบสุดท้าย 16:00 น.), ปิดทำการทุกวันจันทร์
- ค่าเข้าชม: เข้าชมฟรี
ลิ้มรสซูโจว ความหวานละมุนแห่งเจียงหนาน
มาถึงเรื่องสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการเดินทาง นั่นก็คือเรื่องอาหารครับ! อาหารซูโจว หรือที่เรียกว่า “ซูบังไช่” (Su Bang Cai | 苏帮菜) เป็นหนึ่งในแขนงของอาหารเจียงซู ซึ่งเป็น 1 ใน 8 ตระกูลอาหารที่ยิ่งใหญ่ของจีน
ลักษณะเด่นของอาหารซูโจวก็เหมือนกับศิลปะแขนงอื่นๆ ของเมืองนี้ครับ นั่นคือความ “ละเมียดละไม ปราณีต และเน้นความงามตามธรรมชาติ” รสชาติโดยรวมจะไม่จัดจ้าน แต่จะเน้นการชูรสชาติดั้งเดิมของวัตถุดิบที่สดใหม่ โดยเฉพาะปลาจากแม่น้ำและทะเลสาบ และจะมีรสหวานนำเล็กน้อยอย่างมีเอกลักษณ์ ซึ่งเป็นรสชาติที่สะท้อนความอุดมสมบูรณ์ของดินแดนเจียงหนานที่ได้รับฉายาว่า “ดินแดนแห่งปลาและข้าว” (鱼米之乡)
จานเด็ดห้ามพลาด ปลากระรอก (Squirrel-shaped Mandarin Fish | 松鼠鳜鱼)
ถ้าให้เลือกอาหารจานเดียวที่เป็นตัวแทนของซูโจวได้ดีที่สุด ผมขอยกให้จานนี้เลยครับ “ปลากระรอก” หรือ ซงสู่กุ้ยอวี๋
อย่าเพิ่งตกใจกับชื่อนะครับ ในจานไม่มีกระรอกแม้แต่ตัวเดียว! แต่ที่ได้ชื่อนี้มาก็เพราะรูปลักษณ์อันน่าทึ่งของมัน เชฟจะนำปลาแมนดารินทั้งตัวมาเลาะก้างออกอย่างชำนาญ แล้วบั้งเนื้อปลาเป็นลายตารางสี่เหลี่ยมก่อนจะนำไปชุบแป้งทอดในน้ำมันร้อนจัด ทำให้เนื้อปลาบานออกดูคล้ายขนของกระรอกหรือเม่น จากนั้นจึงราดด้วยซอสเปรี้ยวหวานสีส้มสดที่ทำจากซอสมะเขือเทศและน้ำส้มสายชู
จานนี้ไม่ได้มีดีแค่หน้าตา แต่ยังมีความหมายที่เป็นมงคลอีกด้วย ในภาษาจีน คำว่า “ปลา” (鱼 | yú) ออกเสียงพ้องกับคำว่า “เหลือกินเหลือใช้” (余 | yú) ดังนั้น การกินปลาจึงเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ ตามคำอวยพรที่ว่า “เหนียน เหนียน โหย่ว อวี๋” (年年有余) หรือ “ขอให้มีเหลือกินเหลือใช้ทุกปี” นั่นเอง
ปลากระรอกจึงเป็นอาหารจานพิเศษสำหรับงานเลี้ยงฉลองและต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง หากมาถึงซูโจวแล้ว ต้องลองสั่งมาชิมให้ได้สักครั้งครับ แนะนำให้ไปร้านเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงอย่าง “ซงเฮ่อโหลว” (Song He Lou | 松鹤楼) ที่เปิดให้บริการมานานกว่า 200 ปี และขึ้นชื่อเรื่องเมนูนี้โดยเฉพาะ
ของดีที่ต้องจัด บะหมี่ซูโจวและของว่างพื้นเมือง
นอกจากปลากระรอกแล้ว ซูโจวยังมีของอร่อยอีกเพียบที่รอให้เราไปค้นพบครับ
- บะหมี่สไตล์ซูโจว (苏州汤面 | Suzhou Noodle Soup): นี่คืออาหารเช้าในดวงใจของชาวซูโจวเลยครับ บะหมี่ของที่นี่มีเอกลักษณ์ที่น้ำซุป ซึ่งมีให้เลือกทั้งซุปใส (白汤 | bái tāng) ที่รสชาติกลมกล่อม และซุปแดง (红汤 | hóng tāng) ที่หอมกลิ่นซีอิ๊วและเครื่องเทศ เส้นบะหมี่จะบางและเหนียวนุ่ม ทานคู่กับเครื่องเคียง (浇头 | jiāotou) ที่มีให้เลือกละลานตา ถ้าอยากลองร้านเด็ด ต้องไปที่ “ถงเต๋อซิง” (同得兴 | Tóng dé xìng) ร้านดังที่เคยออกรายการ “A Bite of China” และได้รับรางวัล Michelin Bib Gourmand การันตีความอร่อยครับ
- ขนมไหว้พระจันทร์ไส้หมู (鲜肉月饼 | Savory Pork Mooncake): ลืมภาพขนมไหว้พระจันทร์ไส้หวานๆ ที่เราคุ้นเคยไปก่อนเลยครับ เพราะนี่คือของดีประจำถิ่นแถบเจียงหนาน เป็นขนมเปี๊ยะเปลือกบางกรอบที่อบหรือทอดร้อนๆ สอดไส้ด้วยหมูสับปรุงรสที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำซุป กัดเข้าไปคำแรกคือความฟินที่ต้องลองให้ได้ครับ
- ขนมดอกหอมหมื่นลี้ (桂花糕 | Osmanthus Cake): ขนมเค้กนึ่งเนื้อหนึบที่ทำจากข้าวเหนียวและน้ำตาล ผสมกับดอกหอมหมื่นลี้แห้ง ทำให้มีกลิ่นหอมหวานเป็นเอกลักษณ์
- ซาลาเปาทอด (生煎包 | Pan-fried Pork Buns): ซาลาเปาลูกเล็กๆ ที่ด้านล่างทอดจนกรอบ แต่ด้านบนยังคงนุ่ม ไส้หมูข้างในชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำซุป เวลากินต้องระวังร้อนลวกปาก แต่อร่อยมากครับ
ทำไมซูโจวคือจุดหมายต่อไปของคุณในจีน
หลังจากที่ได้พาเพื่อนๆ เดินทางผ่านสวนสวย ล่องไปตามลำคลองโบราณ และลิ้มลองอาหารรสเลิศของซูโจวมาตลอดทั้งวัน ผมหวังว่าทุกคนจะเห็นภาพแล้วว่าทำไมผมถึงหลงรักเมืองนี้ และทำไมผมถึงเชื่อว่าซูโจวคือจุดหมายต่อไปที่สมบูรณ์แบบสำหรับนักเดินทางชาวไทยที่เคยสัมผัสเมืองใหญ่ของจีนมาแล้ว
ซูโจวไม่ใช่แค่ “เมืองรอง” ครับ แต่เป็นเมืองที่มี “คลาส” เป็นของตัวเอง เป็นเมืองที่สอนให้เราเดินทางช้าลง ให้เราใส่ใจกับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ และให้เราซึมซับความงามที่อยู่ตรงหน้าอย่างแท้จริง มันคือการพักผ่อนทางจิตวิญญาณที่หาไม่ได้จากการเที่ยวชมเมืองที่รีบเร่ง
สำหรับคนที่ผ่านปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้มาแล้ว การมาเยือนซูโจวก็เหมือนกับการได้เปิดอ่าน “บทต่อไป” ของหนังสือเล่มใหญ่ที่ชื่อว่า “ประเทศจีน” ซึ่งเป็นบทที่เต็มไปด้วยความละเอียดอ่อนของบทกวีและศิลปะ เป็นบทที่ทำให้เราเข้าใจรากเหง้าทางวัฒนธรรมของจีนได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
หากคุณกำลังมองหาทริปที่จะเติมเต็มหัวใจด้วยความงาม ความสงบ และเรื่องราวที่น่าประทับใจ เชื่อผมเถอะครับ… ซูโจวรอคุณอยู่ และมันจะไม่ทำให้คุณผิดหวังอย่างแน่นอน
คำศัพท์และวลีที่ควรรู้ เที่ยวซูโจวสนุกขึ้นเยอะ!
การรู้ภาษาจีนติดตัวไปบ้างเล็กๆ น้อยๆ จะทำให้การเดินทางของคุณง่ายและสนุกขึ้นเยอะเลยครับ คนจีนส่วนใหญ่ใจดีมาก โดยเฉพาะเมื่อเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติพยายามพูดภาษาของเขา เขาจะเอ็นดูและพร้อมช่วยเหลือเราเต็มที่เลยครับ ลองจำไปใช้ดูนะครับ!